โดย ดร.แชบเบียร์ กีวาลา, กอบบุญ แก้วพิลา และ สุมลรัตน์ ชัยรัตน์

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีข้อดีเหนือกว่าการทำปศุสัตว์ เช่น สัตว์น้ำมีปริมาณโปรตีนที่สูงกว่า อัตราแลกเนื้อ (FCR) ต่ำกว่าการทำปศุสัตว์ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำกว่า (Bourne 2014; Fry 2018) ทำให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นทางเลือกในการผลิตอาหารที่มีคุณค่าสำหรับชาวโลก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อผลผลิตสัตว์น้ำ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำที่สูงขึ้น การเกิดน้ำท่วม ความเป็นกรดมากขึ้นในทะเลและมลภาวะจากธาตุอาหารที่ทำให้เกิดแพลงก์ตอนพืชในน้ำที่มากเกินไป (algae bloom) นอกจากนี้ ปัญหาเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ที่มากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการลดการปลดปล่อยคาร์บอนจากภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และเป้าหมายปลดปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ในประเทศไทย (NXPO 2022)
การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการนำไปสู่เป้าหมายที่กล่าวมาข้างต้น เครื่องมือนี้จะใช้ประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบตลอดกระบวนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้งหมด โดยใช้ข้อมูลจากแต่ละกระบวนการในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา เป้าหมายหลักของการใช้ LCA คือ การผลิตและให้อาหารสัตว์น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการควบคุมและการจัดการของเสียอย่างเป็นระบบ วิธีการเหล่านี้เป็นกระบวนการที่จำเป็นต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยสามารถที่จะปกป้องระบบนิเวศและนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) : คู่มือฉบับย่อ
การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) ทำหน้าที่คล้ายกับการทำบัญชีรายรับรายจ่าย แต่แทนที่จะวัดปริมาณตัวเงิน LCA จะติดตามปริมาณการใช้ทรัพยากรนำเข้าและผลผลิตที่ได้ ตลอดทั้งกระบวนการผลิต การใช้งานและการกำจัดของผลิตภัณฑ์หรือบริการใด ๆ โดยใช้ LCA ในการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วัสดุ การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ การใช้พลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิง รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในแต่ละกระบวนการ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเผยให้เห็นถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละขั้นตอนการผลิต โดยสามารถระบุจุดที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น หากบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ข้อมูลเหล่านี้สามารถผลักดันนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น การออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ลดการใช้ทรัพยากรและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้
กระบวนการของ LCA ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ระบุเป้าหมายและขอบเขต: ในขั้นตอนนี้ จะมีการระบุเป้าหมายของการทำ LCA และ ขอบเขตของสินค้าหรือบริการต่าง ๆ เช่น การสกัดหรือสรรหาทรัพยากร ขั้นตอนการผลิต การขนส่ง การใช้สินค้าหรือบริการ การกำจัดหรือนำสินค้ามาใช้ใหม่ ฯลฯ
ขั้นที่ 2 การวิเคราะห์รายการการผลิต: ในขั้นตอนนี้ จะเก็บข้อมูลทรัพยากรขาเข้าในแต่ละขั้นตอนการผลิตและผลผลิตขาออก ผลิตภัณฑ์ที่ได้ รวมถึงมลพิษที่ถูกปลดปล่อยออกมา มีการตรวจวัดในแต่ละขั้นตอนที่ได้ระบุไว้ในขอบเขตของการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น ๆ
ขั้นที่ 3 การประเมินผลกระทบ: ในขั้นตอนนี้ ข้อมูลในรายการการผลิต จะถูกจำแนกเป็นผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมในแต่หมวดหมู่ เช่น ผลกระทบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การลดลงของทรัพยากร การใช้ที่ดิน ฯลฯ
ขั้นที่ 4 การแปลผล: ในขั้นตอนนี้ จะสามารถหากระบวนที่สร้างผลกระทบมากที่สุด (hotspot) ออกมาได้ และถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตต่อไป
ผลลัพธ์จากขั้นที่ 4 สามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการปรับปรุงในหลายภาคส่วน ตัวอย่างเช่น ผลจากการทำ LCA ของกระบวนการผลิตสิ่งทอเผยให้เห็นว่า มีการใช้พลังงานมากที่สุดในกระบวนการใช้งานของผู้บริโภค (จากการซักและการรีด) ซึ่งการปรับปรุงในภาคอุตสาหกรรมนี้ อาจจะมุ่งเน้นในการพัฒนาเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เสื้อผ้าที่ไม่ต้องรีด หรือเสื้อผ้าที่ซักและแห้งได้ง่าย (Laursen 2007) นอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรมแล้ว LCA ยังช่วยในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลและสามารถโน้มน้าวให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขั้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้น LCA เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ใช้ตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานต่าง ๆ และสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบไปสู่ความยั่งยืนในอนาคตได้
แนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ความยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหารของโลกกำลังเป็นที่ต้องการควบคู่ไปกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกำลังเผชิญในปัจจุบัน ดังนั้นการที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องมีการศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางเลือกที่สามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ ตัวอย่างของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางเลือกที่น่าสนใจมีดังนี้ (Ahmed 2019)
ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบผสมผสาน (IAS): การปลูกข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลา การเลี้ยงกุ้งในป่าชายเลน ในระบบ IAS สามารถที่จะสร้างห่วงโซ่อาหารที่พึ่งพากันระหว่างพืชและสัตว์ โดยป่าชายเลนช่วยเพิ่มผลผลิตและเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำ สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ในแหล่งน้ำ (blue carbon) และช่วยป้องกันแนวชายฝั่งจากคลื่นพายุได้ โดยการเลี้ยงแบบนี้ ช่วยให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยกำจัดศัตรูตามธรรมชาติและเพิ่มผลผลิตโดยรวม นอกจากนี้ กรณีศึกษาในประเทศบังกลาเทศ ยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยการใช้เครื่องสูบน้ำและการสร้างคันดินภายในฟาร์ม เพื่อป้องกันเรื่องน้ำท่วม และป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มเข้าในพื้นที่ทางการเกษตร
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิด (Polyculture): การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิดร่วมกันมีประโยชน์โดยการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างสัตว์น้ำแต่ละชนิด โดยแนวทางนี้ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดการพึ่งพาอาหารสัตว์น้ำจากภายนอกและทำให้สิ่งแวดล้อมในน้ำมีความยั่งยืนยิ่งขึ้น
ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบหมุนเวียน (RAS): ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบหมุนเวียน สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเลี้ยงที่มีความหนาแน่นสูง ด้วยระบบการกรองน้ำด้วยแผ่นกรองทั่วไปและแบบกรองชีวภาพ สามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้ การเลี้ยงแบบนี้ช่วยลดผลกระทบจากการเพาะเลี้ยงสู่แหล่งน้ำภายนอกและสิ่งแวดล้อมได้
การเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเล (Marine Aquaculture): การเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเล เช่น การเลี้ยงปลาทะเลในกระชังและการเพาะเลี้ยงสาหร่าย ช่วยเพิ่มโอกาสในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทางทะเล ช่วยเพิ่มผลผลิตอาหารทะเล ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเพาะเลี้ยงบนบก ลดการจับสัตว์ทะเลและสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดี นอกจากนี้การเพาะเลี้ยงสาหร่ายช่วยในการกักเก็บคาร์บอนได้อีกด้วย (blue carbon)
อย่างไรก็ตามควรมีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ประสิทธิภาพและผลผลิตที่ได้ ปรับปรุงวิธีการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางเลือกเหล่านี้ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการประยุกต์ใช้ LCA เพื่อเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หาข้อดีข้อเสียและหาทางประยุกต์ใช้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางเลือกร่วมกันในอนาคต
การประยุกต์ใช้ LCA สู่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
การประยุกต์ใช้ LCA ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีสองเป้าหมายหลักคือ: (1) เพื่อระบุขั้นตอนหรือกระบวนการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดภายในห่วงโซ่คุณค่าของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และ (2) เพื่อเปรียบเทียบผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบดั้งเดิมและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางเลือก
เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือการกำหนดขอบเขตของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแต่ละขั้นตอน เช่น การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยง การจัดจำหน่ายและการแปรรูป จากนั้นต้องมีการรวบรวมข้อมูลปัจจัยการผลิต การปลดปล่อยมลพิษและผลผลิตภายในขอบเขตนี้ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกจำแนกเป็นหมวดหมู่ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กระบวนการผลิตอาหารสัตว์ การใช้พลังงานและการจัดการของเสีย วิธีการเหล่านี้ช่วยให้สามารถเปรียบเทียบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมระหว่างการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบดั้งเดิมและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางเลือกได้อย่างครอบคลุม
ประโยชน์ของ LCA
ผลการศึกษา LCA ของกระบวนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำให้สามารถระบุข้อควรปรับปรุงในระบบการเพาะเลี้ยงได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยการศึกษานี้จะประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการผลิตอาหารสัตว์น้ำ การใช้พลังงานในฟาร์ม มลพิษทางน้ำและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากขั้นตอนการผลิตจนกระทั่งการขนส่งผลิตภัณฑ์ไปยังผู้บริโภค
ผลของ LCA ให้ประโยชน์กับผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ตัวอย่างเช่น เกษตรกรจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีปรับปรุงฟาร์มเพาะพันธุ์และกระบวนการเลี้ยง ในเรื่องการลดการใช้พลังงานและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ เช่น ผู้จัดจำหน่ายและโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ ยังสามารถได้รับเครดิตคาร์บอน (carbon credit) เพิ่มขึ้นจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบาย เช่น กรมประมง สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการสนับสนุนแนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางเลือก และส่งเสริมแนวทางให้เกษตรกรปรับหรือเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร
ความท้าทายของ LCA
แม้ว่า LCA จะมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แต่การนำมาใช้งานจริงยังคงเผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ โดยปัญหาหลักคือ คุณภาพของข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุมทุกแง่มุมจำเป็นต้องมีข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตและผลผลิตของทั้งกระบวนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเข้าถึงได้ยาก โดยเฉพาะในฟาร์มเพาะเลี้ยงขนาดเล็กที่ไม่ค่อยมีการเก็บบันทึกข้อมูลเหล่านี้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ความท้าทายเรื่องความแปรปรวนของข้อมูลตามฤดูกาลและสภาพภูมิอากาศ เช่น ความแห้งแล้งและปริมาณฝนในแต่ละช่วงเวลา ความแตกต่างของวิธีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและสภาพอากาศในแต่ละภูมิภาค ล้วนทำให้การเก็บข้อมูลและการแปลผลข้อมูลมีความซับซ้อนมากขึ้น
ข้อสรุป
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหารในอนาคต แต่ความยั่งยืนของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กำลังถูกคุกคามโดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ดังนั้นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางเลือก สามารถเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เช่น ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบผสมผสาน (IAS) การเพาะเลี้ยงแบบหลายชนิด ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบหมุนเวียน (RAS) และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเล โดย LCA เป็นเครื่องมือที่สำคัญในวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเหล่านี้ และสามารถช่วยระบุกระบวนการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ เพื่อใช้ในการปรับปรุงโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอาหารสัตว์น้ำ การใช้พลังงาน และการจัดการของเสีย เพื่อนำไปสู่แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงข้อมูลและความผันผวนของข้อมูล ทำให้การเก็บข้อมูลทำได้ยากยิ่งขึ้น
อนาคตของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน ขึ้นอยู่กับความตระหนักของผู้มีส่วนได้เสีย (เกษตรกร ผู้จัดจำหน่าย ผู้กระจายสินค้า) เกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้พวกเขาปรับปรุงการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้แนวคิดใหม่ ๆ เช่น คาร์บอนเครดิต (carbon credit) เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลง โดยผลักดันการปรับปรุงวิธีการดำเนินงานและการเข้าถึงตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น การแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติ (nature-based solution) จะมีบทบาทสำคัญในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในอนาคต โดยนำเสนอแนวทางปฏิบัติที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนและให้ประโยชน์แก่ระบบนิเวศมากขึ้น
การใช้ LCA ร่วมกับเครื่องมือประเมินความยั่งยืนต่าง ๆ จะเป็นสิ่งที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ และสามารถสนับสนุนผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับ การเลือกแนวทางทางเลือกที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญต่อการผลิตอาหารที่ยั่งยืนภายใต้สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
