โดย วินิจ ตันสกุล

อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ความเค็มเพิ่มขึ้น ความเป็นกรดของมหาสมุทร และเหตุการณ์สภาพความแปรปรวนที่รุนแรงของลมฟ้าอากาศ ปริมาณน้ำฝนที่ผิดปกติ รวมถึงการเพิ่มของโรคกุ้งอุบัติใหม่ กำลังคุกคามผลผลิตกุ้งเลี้ยงและความยั่งยืนของการเลี้ยงกุ้งทั่วโลก ในเวลาเดียวกัน มีแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นจากผู้บริโภคกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและหน่วยงานกำกับดูแลให้นำแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมาใช้ในการผลิตกุ้ง
เพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งจะต้องให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสามารถในการฟื้นตัวจากความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในการดำเนินงานที่เน้นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่ได้เป็นความพยายามที่แยกจากกัน แต่กลับมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก โดยแต่ละประเด็นช่วยเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน การใช้กลยุทธ์เพื่อปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเลี้ยงกุ้ง ทำให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งไม่เพียงแต่สามารถรับประกันความอยู่รอดได้ในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสนับสนุนความพยายามระดับโลกในการพัฒนากลยุทธ์องค์รวมเพื่อบรรเทาและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุดไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจถึงความยั่งยืนในระยะยาวและอนาคตที่ยืดหยุ่น
ความสามารถในการฟื้นตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (climate resilience) เป็นแนวคิดที่อธิบายว่าผู้คนหรือระบบนิเวศเตรียมพร้อมที่จะฟื้นตัวจากเหตุการณ์อันตรายต่อสภาพภูมิอากาศได้ดีเพียงใด คำจำกัดความอย่างเป็นทางการของคำนี้คือ “ความสามารถของสังคม เศรษฐกิจ และระบบนิเวศในการรับมือกับเหตุการณ์อันตราย แนวโน้ม หรือการปั่นป่วน” เราเสนอการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่ปกป้องทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมในบทความนี้ให้ทราบกัน
กลยุทธ์การฟื้นตัวจากความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศต่อประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม
กลยุทธ์หลายประการที่มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศในการเพาะเลี้ยงกุ้งมีส่วนช่วยในการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบทางนิเวศของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้ง ตัวอย่างเช่น
การอนุรักษ์น้ำและใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ: การนำมาตรการอนุรักษ์น้ำมาใช้ เช่น การหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ใหม่ในระบบปิด (RAS) โดยน้ำจะถูกกรองและนำกลับมาใช้ใหม่ ลดการปล่อยน้ำทิ้งออกสู่ภายนอกและแหล่งน้ำธรรมชาติ ช่วยควบคุมจุลินทรีย์ในธรรมชาติหรือไมโครไบโอมในระบบการเลี้ยง รวมถึงลดการแพร่กระจายของโรค การเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้ในรอบการเลี้ยง การใช้สายพันธุ์กุ้งที่ทนเค็มสามารถช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นจากภัยแล้งและการรุกล้ำของน้ำเค็ม นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบไบโอฟล็อค (biofloc) ส่งเสริมชุมชนจุลินทรีย์ที่สนับสนุนการรีไซเคิลสารอาหารส่วนเกินให้เป็นฟล็อคที่อุดมไปด้วยโปรตีน เป็นอาหารเสริมสำหรับกุ้ง สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ ปรับปรุงคุณภาพน้ำและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเลี้ยงกุ้งได้ โดยเฉพาะการควบคุมโรคกุ้ง ยังช่วยลดปริมาณน้ำระบายทิ้งของอุตสาหกรรมกุ้งและลดความเครียดจากการใช้ทรัพยากรน้ำจืดอีกด้วย
การคัดเลือกสายพันธุ์กุ้ง: การพัฒนาสายพันธุ์กุ้งให้ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยทนทานต่ออุณหภูมิของน้ำที่สูงขึ้น ทนทานต่อความผันผวนของความเค็มและปัจจัยกดดันอื่น ๆ ที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศ สามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเพาะเลี้ยงกุ้งได้ โปรแกรมคัดเลือกสายพันธุ์กุ้งและเทคนิคทางพันธุวิศวกรรมสามารถนำมาใช้สร้างพันธุ์กุ้งที่ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้นและเพิ่มความต้านทานต่อโรค มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี และความทนทานต่อความเครียดได้มากขึ้น ปัจจุบันมีหลายบริษัทระดับโลกได้ปรับปรุงสายพันธุ์กุ้งทนทาน (robust shrimp) ต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความเค็มของน้ำ เพื่อให้กุ้งสามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดีแม้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง แทนที่การใช้สายพันธุ์กุ้งโตเร็วแต่อ่อนแอง่าย เกษตรกรควรเลือกใช้กุ้งสายพันธุ์พื้นเมืองและกุ้งที่ไม่ใช่สายพันธุ์พื้นเมืองให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการเลี้ยงในท้องถิ่นของตน การเลี้ยงกุ้งหลากหลายสายพันธุ์เป็นการกระจายความเสี่ยงและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อภัยคุกคามได้
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชั้นแบบผสมผสาน (Integrated multi-trophic aquaculture, IMTA): IMTA เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงร่วมกันของสายพันธุ์ต่าง ๆ (เช่น กุ้ง ปลา สาหร่ายทะเล) ไว้ในระบบการเลี้ยงเดียวกัน จากระดับโภชนาการที่แตกต่างกัน ส่งเสริมการหมุนเวียนของสารอาหาร ของเสียจากกุ้งกลายเป็นทรัพยากรสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากของเสียและสารอาหารส่วนเกินที่ใช้เลี้ยงกุ้ง ทำให้เกิดระบบสมดุลและปรับปรุงสุขภาพของระบบนิเวศโดยรวม ปัจจุบันการเลี้ยงกุ้งร่วมกับปลานิล (กินอาหารแบบกรอง) และสาหร่าย (เก็บกักคาร์บอน) พบอย่างแพร่หลายในเวียดนาม ด้วยการเลียนแบบระบบนิเวศทางธรรมชาติ IMTA มีส่วนช่วยในการฟื้นตัวของสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
การจัดการคุณภาพน้ำอัจฉริยะในบ่อเลี้ยงกุ้งตามสภาพอากาศ: การใช้เครื่องตรวจวัดคุณภาพน้ำอัจฉริยะ (IoT devices) เพื่อทราบค่าคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ตลอดระยะการเลี้ยงกุ้ง การจัดการคุณภาพน้ำเป็นหัวใจสำคัญของการเลี้ยงกุ้งทะเล เพราะกุ้งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำ ผู้เลี้ยงต้องปรับค่าและควบคุมคุณภาพน้ำให้เหมาะสมกับกุ้งที่เลี้ยง โดยเฉพาะค่าอุณหภูมิน้ำ ความเค็ม พีเอชและออกซิเจนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการใช้ระบบเติมอากาศและออกซิเจน การจัดการคุณภาพน้ำที่ดีมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อความสำเร็จในการเลี้ยงกุ้ง ช่วยเพิ่มอัตรารอดตายและผลผลิตกุ้ง ลดความเสี่ยงของปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่งหรือการเกิดยูโทรฟิเคชัน (Eutrophication) และปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพน้ำที่แย่ลงอีกด้วย
การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน: ระบบนิเวศป่าชายเลนมีบทบาทสำคัญในการปกป้องชายฝั่ง การกักเก็บคาร์บอนและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน การเพาะเลี้ยงกุ้งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวต่ออันตรายชายฝั่ง แต่ยังมีส่วนช่วยในการรักษาระบบนิเวศที่มีคุณค่าเหล่านี้ด้วย นอกจากเป็นการแก้ปัญหาโดยใช้วิถีธรรมชาติ หรือ Natural-based solutions (NbS) การฟื้นฟูป่าชายเลนและพื้นที่ชุ่มน้ำใกล้กับฟาร์มกุ้งเป็นรูปแบบหนึ่งของการให้บริการทางระบบนิเวศ (ecological service) โดยพื้นที่ชุ่มน้ำเหล่านี้กรองสารอาหารจากน้ำทิ้ง จึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่คุ้มค่าและเป็นมิตรกับธรรมชาติ เป็นการรักษาพื้นที่ยืดหยุ่นหรือบัฟเฟอร์ตามธรรมชาติเหล่านี้ เพื่อจะดูดซับของเสียและสารอาหารส่วนเกินจากบ่อกุ้ง นอกจากนั้นป่าชายเลนยังช่วยป้องกันลมพายุ ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ปกป้องชุมชนชายฝั่งและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่เรียกว่าบลูคาร์บอน (blue carbon) อีกด้วย
บทบาทของแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ตัวอย่างของการนำหลักปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการเพาะเลี้ยงกุ้งซึ่งมีส่วนช่วยโดยตรงในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศของอุตสาหกรรม ได้แก่
การจัดหาอาหารสัตว์และปัจจัยการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ: การจัดหาอาหารเลี้ยงกุ้งและปัจจัยการผลิตอื่น ๆ อย่างมีความรับผิดชอบ เช่น การใช้ปลาป่นและน้ำมันปลาจากแหล่งที่ยั่งยืนและผ่านการตรวจประเมินรับรองมาตรฐาน หรือการใช้แหล่งโปรตีนทางเลือก สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของอุตสาหกรรมและการพึ่งพาทรัพยากรที่มีจำกัด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อห่วงโซ่อุปทานอาหารและทรัพยากรที่มีอยู่
การจัดการของเสียและการควบคุมมลพิษ: มาตรการการจัดการของเสียและการควบคุมมลพิษที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเลี้ยงกุ้งเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาระบบนิเวศทางน้ำให้แข็งแรงอีกด้วย ระบบนิเวศที่ดียิ่งขึ้นเหล่านี้มีความพร้อมที่ดีกว่าในการต้านทานและฟื้นตัวจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ความเป็นกรดของมหาสมุทร และคลื่นความร้อนในทะเล
การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ: การปกป้องและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่นผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การสร้างเขตกันชน การดำเนินการเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสัตว์ป่าและการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัย การดำเนินการเพาะเลี้ยงกุ้งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบนิเวศ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและดีต่อสุขภาพมากขึ้นต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสามารถสนับสนุนแนวทางปฏิบัติในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนได้ดีขึ้น
การรับรองและตรวจสอบย้อนกลับ: การเข้าร่วมแผนการรับรองจากบุคคลที่สาม เช่น Aquaculture Stewardship Council (ASC) และ Best Aquaculture Practices (BAP) สามารถส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการตรวจสอบย้อนกลับในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้ง ผู้บริโภคเรียกร้องให้มีความโปร่งใสและรับประกันมากขึ้นว่ากุ้งที่พวกเขาบริโภคนั้นผลิตขึ้นในลักษณะที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม สามารถผลักดันให้เกิดการนำแนวปฏิบัติที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศมาใช้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคสำหรับกุ้งที่ผลิตอย่างโปร่งใสและมีความรับผิดชอบ สร้างแรงจูงใจให้อุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและความสามารถในการฟื้นตัวของสภาพภูมิอากาศ
นโยบายของรัฐบาล
นโยบายของรัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสามารถในการฟื้นตัวต่อสภาพภูมิอากาศ
สิ่งจูงใจ: ส่งเสริมให้เกษตรกรนำแนวปฏิบัติการเลี้ยงกุ้งที่ยั่งยืนมาใช้ผ่านการอุดหนุนด้านการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือไม่มีดอกเบี้ย การลดหย่อนภาษี และสนับสนุนการใช้โปรแกรมรับรองมาตรฐานการเลี้ยงและผลผลิตที่เน้นความปลอดภัยทางอาหาร รวมถึงการส่งเสริมสนับสนุนการขายผลผลิตและการตลาด
บริการวิจัยและส่งเสริมนวัตกรรมร่วมกัน: ลงทุนในการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมและช่วยในการฟื้นตัวต่อสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเผยแพร่ความรู้ให้กับเกษตรกรผ่านการฝึกอบรม เพื่อนำไปประยุกต์ใช้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ควรส่งเสริมให้ฟาร์มกุ้งนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ เช่น การติดตั้งระบบควบคุมอุณหภูมิและคุณภาพน้ำ ระบบเตือนภัยด้านโรคระบาด รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการเพาะเลี้ยงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นอกจากนี้ความพยายามในการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัย เกษตรกร ผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาและเผยแพร่นวัตกรรมในการแก้ปัญหาที่ตอบสนองต่อทั้งความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในการเพาะเลี้ยงกุ้ง การทำงานร่วมกันตลอดกระบวนการผลิตกุ้งหรือห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) สามารถเร่งการนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นมาใช้
โครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ: ความถี่และความรุนแรงของภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม พายุ ภัยแล้ง การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล การกัดเซาะชายฝั่ง ส่งผลกระทบต่อผลผลิตและโครงสร้างพื้นฐานของฟาร์มกุ้ง รัฐบาลต้องสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ผนังคอนกรีตกั้นนํ้า ระบบชลประทานน้ำเค็ม ระบบการจัดการน้ำ ระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ ระบบป้องกันน้ำท่วม ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน รวมถึงการทำประกันภัย การจัดทำแผนรับมือภัยพิบัติจะช่วยลดความเสี่ยงและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยปกป้องฟาร์มกุ้งและชุมชนจากเหตุการณ์ที่รุนแรงจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างหนัก
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการเพาะเลี้ยงกุ้ง
ประเด็นสำคัญบางประการที่อาจจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้ง
การหยุดชะงักของการผลิต: เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วม พายุ และ สภาพอากาศสุดขั้วสามารถทำลายบ่อกุ้ง นำไปสู่การสูญเสียทางการเงินครั้งใหญ่สำหรับเกษตรกร ภัยพิบัตเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ แต่ยังทำให้การวางแผนสำหรับอนาคตเป็นเรื่องที่ท้าทาย
ความเสี่ยงต่อโรคกุ้งที่เพิ่มขึ้น: อุณหภูมิที่สูงขึ้นและสภาพมหาสมุทรที่เปลี่ยนแปลงไปอาจทำให้การระบาดของโรคในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำรุนแรงขึ้น โรคต่าง ๆ อาจทำให้กุ้งตายได้ ผลผลิตเสียหายและลดลง และเพิ่มต้นทุนในการจัดการป้องกันและรักษาโรค
การเปลี่ยนแปลงการกระจายตัวของกุ้งในทะเล: เมื่ออุณหภูมิของน้ำทะเลเปลี่ยนแปลง การกระจายตัวของประชากรกุ้งในทะเลอาจเปลี่ยนไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมีอยู่ของสายพันธุ์กุ้งที่มีความสำคัญทางการค้า ส่งผลต่อทั้งการผลิตและการเปลี่ยนแปลงของตลาดค้ากุ้ง
ช่องโหว่ในห่วงโซ่อุปทาน: เหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงสามารถขัดขวางห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลกระทบต่อการขนส่ง การแปรรูปและการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้ง ช่องโหว่นี้อาจนำไปสู่ความผันผวนของราคาและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ
ค่าใช้จ่ายในการปรับตัว: การดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อรับมือกับสภาพอากาศจำเป็นต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและการวิจัย แม้ว่าการปรับตัวเหล่านี้จะมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนต่อความยั่งยืนในระยะยาว แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงของตลาด: ความต้องการของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยมีความต้องการกุ้งที่มีแนวทางปฎิบัติ ด้านการเลี้ยงและผลิตอย่างยั่งยืนเพิ่มขึ้น แนวทางปฏิบัติที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะช่วย เพิ่มการเข้าถึงตลาดและความสามารถในการแข่งขันได้
บทสรุป
การเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้เลี้ยงกุ้งต้องนำกลยุทธ์การฟื้นตัวต่อสภาพภูมิอากาศ มีการปกป้องระบบนิเวศและสนับสนุนระบบผลิตอาหารที่มีความยืดหยุ่นมาใช้ รวมถึงมีมาตรการการปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับเปลี่ยนสายพันธุ์กุ้งและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ฟาร์มกุ้งสามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนั้นการวิจัยทางวิทยาศาตร์ การสนับสนุนนโยบายจากภาครัฐมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาผลกระทบเชิงลบทางเศรษฐกิจ การมีส่วนร่วมของชุมชน การจัดทำแผนรับมือภัยพิบัติและการทำประกันภัยเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมกุ้งในระยะยาวได้ การทำงานร่วมกันช่วยให้มั่นใจว่าอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งจะอยู่รอดและรุ่งเรืองตลอดไปแม้ว่าสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป
ในขณะที่ความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้น อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งจะต้องใช้แนวทางแบบองค์รวมที่ตระหนักถึงการพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างความสามารถในการฟื้นตัวของสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการดำเนินกลยุทธ์ที่จัดการทั้งสองประเด็นไปพร้อม ๆ กัน อุตสาหกรรมไม่เพียงแต่สามารถรักษาความมั่นคงในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในความพยายามระดับโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นมากขึ้น
