การจัดการรอยเท้าน้ำในระบบเกษตรผสมผสานข้าว-ปลา:แนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โดย ดร.ปราณีต งามเสน่ห์

Image by Tirtaperwitasari from Shutterstock.

การจัดการทรัพยากรน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในหลากหลายมิติ ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรมซึ่งต้องการแหล่งน้ำจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง วอเตอร์ฟุตพรินต์ (Water Footprint) หรือรอยเท้าน้ำเป็นตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพในการวัดและประเมินปริมาณน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตทางการเกษตรที่หลากหลาย รวมถึงการเพาะปลูกพืชและการเลี้ยงปศุสัตว์ การจัดการรอยเท้าน้ำที่มีประสิทธิภาพมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดการใช้น้ำที่มากเกินไปและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ

การนำกลยุทธ์การจัดการรอยเท้าน้ำที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ไม่เพียงแต่ช่วยลดการใช้น้ำในภาคเกษตรกรรมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาวและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อเกษตรกรและสังคมในวงกว้าง การศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการจัดการรอยเท้าน้ำที่เหมาะสมจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรกรรมของไทยในอนาคต

คำนิยามของรอยเท้าน้ำ

รอยเท้าน้ำเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดปริมาณน้ำที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการทั้งหมดภายในระบบเศรษฐกิจหรือกระบวนการผลิตเฉพาะ ซึ่งครอบคลุมทั้งการใช้น้ำโดยตรงและโดยอ้อมที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการผลิตทั้งหมด การคำนวณรอยเท้าน้ำช่วยให้เข้าใจถึงการบริโภคน้ำที่แท้จริง ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนากลยุทธ์การใช้น้ำอย่างยั่งยืน รอยเท้าน้ำประกอบด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้

รอยเท้าน้ำสีน้ำเงิน: หมายถึงปริมาณน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินที่ถูกใช้โดยตรงในการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงการชลประทาน การผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการใช้ในครัวเรือน รอยเท้าน้ำสีน้ำเงินมีความสำคัญเนื่องจากเกี่ยวข้องกับน้ำที่สามารถควบคุมและจัดสรรได้โดยตรง

รอยเท้าน้ำสีเขียว: หมายถึงปริมาณน้ำฝนที่ถูกดูดซับและใช้โดยพืชเพื่อการเจริญเติบโต โดยเฉพาะในระบบเกษตรกรรมที่ไม่ใช้การชลประทาน การใช้น้ำสีเขียวแสดงถึงการใช้ทรัพยากรน้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเพาะปลูกพืชในหลายพื้นที่

รอยเท้าน้ำสีเทา: หมายถึงปริมาณน้ำที่จำเป็นต้องใช้ในการเจือจางมลพิษที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการผลิต เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพน้ำที่ยอมรับได้ รอยเท้าน้ำสีเทาสะท้อนถึงผลกระทบของกิจกรรมการผลิตต่อคุณภาพน้ำตามธรรมชาติ

แนวคิดการจัดการรอยเท้าน้ำในภาคเกษตรกรรม

การจัดการรอยเท้าน้ำในภาคเกษตรกรรมเกี่ยวข้องกับแนวทางที่หลากหลาย โดยพิจารณาการใช้น้ำทั้งสามประเภท (สีน้ำเงิน สีเขียวและสีเทา) กระบวนการเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์และประเมินรอยเท้าน้ำในกระบวนการผลิต เพื่อระบุปริมาณการใช้น้ำและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากนั้นจึงพัฒนาแผนการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

แนวคิดหลักคือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและลดการสูญเสียน้ำโดยใช้เทคโนโลยีการชลประทานสมัยใหม่ เช่น ระบบน้ำหยดหรือระบบสปริงเกลอร์ นอกจากนี้ การใช้ปุ๋ยและสารเคมีอย่างเหมาะสมมีความสำคัญในการลดรอยเท้าน้ำสีเทาและลดมลพิษทางน้ำ

การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำตามธรรมชาติ เช่น การสร้างเขตกันชนรอบแหล่งน้ำ การปลูกพืชทนแล้งและพืชที่ใช้น้ำน้อยในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ เป็นวิธีการที่ช่วยลดการใช้น้ำในภาคเกษตรกรรม

การจัดการรอยเท้าน้ำที่มีประสิทธิภาพจะช่วยปรับปรุงความมั่นคงด้านน้ำและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อเกษตรกรและสังคมโดยรวม

รอยเท้าน้ำในการผลิตและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วไป

รอยเท้าน้ำที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการผลิตอาหาร ประกอบด้วยน้ำสีน้ำเงินและน้ำสีเขียวเป็นหลัก (Falkenmark 2006) น้ำสีเทาหรือน้ำเสียจะอยู่ในสิ่งแวดล้อม และรวมกับน้ำฝนบางส่วนกลับคืนสู่บรรยากาศผ่านการระเหยโดยไม่ได้ใช้โดยตรง ดังนั้น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจึงพึ่งพาแหล่งน้ำสีน้ำเงินและสีเขียวเป็นหลัก ทำให้การได้มาซึ่งน้ำเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

แหล่งน้ำสีน้ำเงินที่ถูกใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำนั้นคิดเป็น 39% (Molden 2007) ได้มาจากน้ำฝน น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน รวมถึงน้ำจากการไหลบ่า การกักเก็บ และการชลประทานที่พบในคลอง ทะเลสาบ บ่อ อ่างเก็บน้ำ แม่น้ำ ทุ่งนา และพื้นที่ชุ่มน้ำ น้ำสีน้ำเงินถูกใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดในแผ่นดินและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกร่อยตามแนวชายฝั่ง แหล่งน้ำสีเขียวคิดเป็น 60% ของน้ำที่ใช้ และมาจากน้ำฝนและน้ำที่ถูกเก็บเป็นความชื้นในดิน รวมถึงน้ำที่กักเก็บในปากแม่น้ำ ทะเลสาบ ป่าชายเลน ทะเล และมหาสมุทรที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเล ทั้งนี้น้ำสีน้ำเงินและน้ำสีเขียวไม่สามารถแยกออกจากกันได้

รอยเท้าน้ำในระบบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นการวัดการใช้น้ำทั้งทางตรงและทางอ้อม รอยเท้าน้ำของผลผลิต (เช่น ปลา) คือปริมาณน้ำที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์นั้น โดยวัดและรวมกันตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Hoekstra 2011) แม้ว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจะใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ แต่รอยเท้าน้ำยังรวมถึงน้ำที่สูญเสียจากบ่อผ่านการซึมและการระเหย และน้ำที่ใช้ในการผลิตอาหารปลา นอกจากนี้ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเอง ก็ยังอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อทรัพยากรน้ำโดยก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ ซึ่งเรียกว่ารอยเท้าน้ำสีเทา รอยเท้าน้ำสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีความแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์น้ำที่เลี้ยงและระบบการเลี้ยงที่ใช้ (Guzmán-Luna 2021)

รอยเท้าน้ำและผลิตภาพของน้ำ

รอยเท้าน้ำ (Water footprint, WF) มีหน่วยวัดเป็นลูกบาศก์เมตรของน้ำต่อกิโลกรัมของผลผลิต ซึ่งเป็นค่าผกผันกับผลิตภาพของน้ำ (Water productivity,WP) ที่วัดเป็นกิโลกรัมของผลผลิตต่อลูกบาศก์เมตรของน้ำ รอยเท้าน้ำสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำรวมถึงน้ำที่สูญเสีย น้ำที่เป็นมลพิษ และน้ำที่ใช้ในการผลิตอาหารของสัตว์น้ำ รอยเท้าน้ำของการผลิตปลาแตกต่างกันไปตามกลุ่มปลาและระบบการเลี้ยงที่ใช้ ตัวอย่างเช่น ปลาคาร์พและปลาดุกมีค่า WF สูงที่ 61.4 และ 52.2 ลูกบาศก์เมตรต่อกิโลกรัมตามลำดับ ในขณะที่กุ้งและปลานิลมีประสิทธิภาพการใช้น้ำมากกว่า โดยมีค่า WF ที่ 4.4 และ 15.9 ลูกบาศก์เมตรต่อกิโลกรัมตามลำดับ (Ahmed 2018)

ในส่วนของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลัก 3 ระบบนั้น พบว่าระบบแบบไม่หนาแน่นต้องการน้ำมากที่สุด (77.2 ลูกบาศก์เมตรต่อกิโลกรัม) ตามมาด้วยระบบกึ่งหนาแน่น (36.0 ลูกบาศก์เมตรต่อกิโลกรัม) และระบบการเลี้ยงหนาแน่น (33.5 ลูกบาศก์เมตรต่อกิโลกรัม) ค่าเฉลี่ยรอยเท้าน้ำทั่วโลกสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอยู่ที่ 40.4 ลูกบาศก์เมตรต่อกิโลกรัม (Waite 2014)

ผลิตภาพของน้ำ (Water productivity, WP) หมายถึงผลผลิตทางกายภาพต่อหน่วยของน้ำที่ใช้ วัดเป็นน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ต่อหน่วยของน้ำ (กิโลกรัมของผลิตภัณฑ์ต่อลูกบาศก์เมตรของน้ำ) ผลิตภาพของน้ำในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างๆ ที่วัดเป็นกิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรของน้ำ แสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงในระบบน้ำหมุนเวียนแบบเข้มข้นมีค่าผลิตภาพของน้ำระหว่าง 0.71-2 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (Verdegem 2006) ส่วนผลิตภาพของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วไปขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและชนิดของสัตว์น้ำ อยู่ในช่วง 0.01-1.6 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (Lemoalle 2008) ระบบการเลี้ยงแบบเข้มข้นอยู่ในช่วง 0.05-1 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (Molden 2010) ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการใช้น้ำที่แตกต่างกันในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างๆ และความสามารถในการผลิตตามระบบและกระบวนการที่ใช้

การเปรียบเทียบการใช้น้ำในปลูกข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาและการปลูกข้าวเชิงเดี่ยว

ในการทำนาข้าวเชิงเดี่ยว ระบบดั้งเดิมมักใช้น้ำที่มีความลึก 2.5-7.5 เซนติเมตรเพื่อให้แน่ใจว่าข้าวเติบโตได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำโดยรวมยังคงสูงเนื่องจากการพึ่งพาน้ำสีน้ำเงินเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน ผลิตภาพของน้ำเฉลี่ยในระบบการทำนาข้าวเชิงเดี่ยวแตกต่างกันไปตามการใช้น้ำ การระเหย และวิธีการทางการเกษตรที่ส่งผลต่อการใช้น้ำโดยรวม

ในทางตรงกันข้าม การทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาต้องการน้ำมากกว่าการทำนาข้าวเชิงเดี่ยว เนื่องจากต้องรักษาระดับน้ำในนาเพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของปลา การทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาใช้ทั้งน้ำสีน้ำเงินและน้ำสีเขียว (น้ำฝนที่ถูกดูดซับลงในดิน) อย่างมีประสิทธิภาพ การเลี้ยงปลาไม่ได้ทำให้น้ำสูญเสียไป แต่เป็นการหมุนเวียนน้ำภายในระบบ ผลิตภาพของน้ำในการทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาสูงกว่าการทำนาข้าวเชิงเดี่ยว โดยประมาณการณ์ว่าอยู่ที่ประมาณ 1.21 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เทียบกับการทำนาข้าวเชิงเดี่ยวที่มีค่าเฉลี่ยประมาณ 0.74-1.09 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (Ahmed 2018)

ดังนั้น การทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาใช้น้ำมากกว่าในแง่ของปริมาณรวม แต่มีประสิทธิภาพการใช้น้ำที่สูงกว่าเนื่องจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งข้าวและปลา การทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาใช้ทั้งน้ำสีน้ำเงินและน้ำสีเขียวอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยไม่ใช้น้ำสีน้ำเงินมากเกินไป ในขณะที่เพิ่มการผลิตอาหารอย่างมีนัยสำคัญ การใช้น้ำในการทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลามีความยั่งยืนมากกว่าและลดการระเหยและการสูญเสียน้ำเมื่อเทียบกับการทำนาข้าวเชิงเดี่ยว

บทบาทของน้ำในระบบการทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลา

วัฏจักรและบทบาทของน้ำในระบบการทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลามุ่งเน้นที่ความสมดุลระหว่างน้ำสีน้ำเงิน (น้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน) และน้ำสีเขียว (ความชื้นในดินจากน้ำฝน) น้ำฝนทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำหลัก โดยมีส่วนช่วยให้เกิดการไหลบ่าของน้ำผิวดิน การเติมน้ำใต้ดิน และการรักษาความชื้นในดิน น้ำสีน้ำเงินใช้เติมเข้าสู่แปลงนาข้าว ในขณะที่น้ำสีเขียวที่เก็บไว้ในดินมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตร่วมกันของข้าวและปลา

การรวมทั้งข้าวและปลาในพื้นที่เดียวกันสร้างการเกษตรแบบยั่งยืน ระบบนี้ใช้น้ำฝนอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตและความยั่งยืนของการทำเกษตร (Ahmed 2022)

การควบคุมการระเหยของน้ำจากลุ่มน้ำและระบบนิเวศบนบก การอิ่มตัวของดิน และการไหลกลับของน้ำสู่ระบบนิเวศทางน้ำและบก ล้วนมีความสำคัญต่อการรักษาสมดุล การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำสีน้ำเงินและน้ำสีเขียว โดยการผสมผสานการเลี้ยงปลากับการปลูกข้าว ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำและผลผลิตทางการเกษตร แต่ยังส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในการทำเกษตรแบบผสมผสานอีกด้วย

ความท้าทายในการจัดการรอยเท้าน้ำในระบบเกษตรผสมผสานข้าว-ปลา

ระบบการทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน เป็นการรวมการปลูกข้าวและการเลี้ยงปลาในพื้นที่เดียวกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร อย่างไรก็ตาม การจัดการรอยเท้าน้ำในระบบนี้มีความท้าทายหลายประการ

การควบคุมปริมาณน้ำ: การรักษาระดับน้ำที่เหมาะสม ทั้งสำหรับข้าวและปลาต้องการการจัดการที่ละเอียดรอบคอบ เนื่องจากข้าวต้องการน้ำในปริมาณมาก ในขณะที่ปลาต้องการน้ำที่มีคุณภาพสูง การสร้างสมดุลระหว่างทั้งสองต้องอาศัยความรู้และทักษะในการจัดการน้ำ

คุณภาพน้ำ: การเลี้ยงปลาในนาข้าวอาจเพิ่มสารอินทรีย์ในน้ำ และอาจทำให้เกิดความขุ่นหรือการสะสมของสารเคมี ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งข้าวและปลา การติดตามคุณภาพน้ำอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งจำเป็น

การจัดการปุ๋ยและสารเคมี: การใช้ปุ๋ยในนาข้าวอาจส่งผลกระทบต่อปลา การเลือกใช้ปุ๋ยและสารเคมีที่ไม่เป็นพิษ และการใช้วิธีการทำเกษตรอินทรีย์ เป็นทางเลือกที่ดี

การควบคุมโรคและศัตรูพืช: ทั้งข้าวและปลามีความเสี่ยงต่อโรคและศัตรูที่ต้องระวัง การวางแผนและดำเนินการมาตรการป้องกันและควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็น

การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศส่งผลต่อรูปแบบของฝนและระดับน้ำ การวางแผนและปรับตัวอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ

การจัดการรอยเท้าน้ำในระบบนี้ ต้องการการวางแผนและการดำเนินการอย่างรอบคอบ การศึกษาและเรียนรู้วิธีการที่เหมาะสมจะช่วยให้เกษตรกรจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

การลดรอยเท้าน้ำในการเพาะปลูกข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลา

การลดรอยเท้าน้ำในการเพาะปลูกข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาสามารถทำได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้

การใช้น้ำฝนให้เกิดประโยชน์สูงสุด: สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กหรือคันดินรอบๆ แปลงนาเพื่อเก็บกักน้ำฝน ลดความจำเป็นในการใช้น้ำชลประทาน ปลูกข้าวและเลี้ยงปลาในฤดูฝนเมื่อมีน้ำฝนเพียงพอ ทำให้ลดการพึ่งพาแหล่งน้ำอื่น ๆ

การปรับปรุงโครงสร้างดิน: ใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน ช่วยลดการสูญเสียน้ำจากการระเหยและการซึม ปลูกพืชคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นในดินและลดการระเหยของน้ำ

การจัดการการชลประทานอย่างมีประสิทธิภาพ: นำระบบน้ำหยดหรือระบบสปริงเกลอร์มาใช้ ซึ่งใช้น้ำน้อยและมีประสิทธิภาพสูง ใช้เซ็นเซอร์วัดความชื้นในดินเพื่อควบคุมการให้น้ำอย่างแม่นยำตามความต้องการเฉพาะของพืชและปลา

การจัดการน้ำท่วมและการกักเก็บน้ำ: ป้องกันน้ำท่วมจากภายนอกและลดการสูญเสียน้ำภายใน ใช้บ่อหรืออ่างเก็บน้ำเพื่อเก็บน้ำส่วนเกินในช่วงที่มีน้ำมากเพื่อใช้ในช่วงแล้ง

การเลือกพันธุ์ข้าวและปลาที่เหมาะสม: เลือกพันธุ์ข้าวและปลาที่ทนต่อสภาพแวดล้อมและต้องการน้ำน้อย เลือกพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศและฤดูกาลในท้องถิ่นเพื่อลดความต้องการน้ำ

การฝึกอบรมและส่งเสริมความรู้: ส่งเสริมและฝึกอบรมเกษตรกรเกี่ยวกับเทคนิคการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและการทำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาอย่างยั่งยืน พัฒนาแผนการจัดการน้ำและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการใช้น้ำ

การนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้จะช่วยลดการใช้น้ำในการเพาะปลูกข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการทำเกษตรอย่างยั่งยืนและเพิ่มผลผลิต

บทสรุป

รอยเท้าน้ำในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรอบ และความยั่งยืนของการผลิตอาหาร ระบบการผลิตอาหารจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสามารถส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโดยการปล่อยของเสียลงสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งนำไปสู่มลพิษทางน้ำ ระบบการผลิตแบบดั้งเดิมมีความต้องการใช้ทรัพยากรน้ำธรรมชาติสูง และอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมผ่านการปล่อยน้ำเสีย

การลดรอยเท้าน้ำในระบบการเกษตรแบบผสมผสานระหว่างข้าวและปลา ต้องอาศัยการจัดการที่เหมาะสมและการออกแบบระบบเพื่อให้มั่นใจว่ามีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความสมดุลระหว่างน้ำที่ใช้สำหรับการเลี้ยงปลาและน้ำที่ใช้สำหรับการปลูกข้าว สิ่งนี้ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้น้ำและการหมุนเวียนสารอาหาร นอกจากนี้ การวัดปริมาณการใช้น้ำและการนำวิธีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพมาใช้ก็เป็นสิ่งสำคัญ

การเกษตรแบบผสมผสานระหว่างการปลูกข้าวและเลี้ยงปลา สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและความยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มผลผลิตอาหาร ในขณะที่ลดการใช้น้ำเมื่อเทียบกับการทำนาเชิงเดี่ยวแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเกษตรแบบผสมผสานระหว่างข้าวและปลาจะมีประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ แต่ความท้าทายต่างๆ เช่น การขาดแคลนน้ำและความจำเป็นในการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ยังคงมีอยู่ ความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งรวมถึงเกษตรกร หน่วยงานภาครัฐ นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบาย มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการนำระบบการเกษตรแบบผสมผสานระหว่างข้าวและปลาไปใช้อย่างแพร่หลาย และเพิ่มศักยภาพในการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนในระดับโลก