บทบาทของการแก้ปัญหาที่อิงธรรมชาติ (Nature-based Solutions) ในการบรรเทาปัญหาโรคระบาดในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

โดย ดร.ชนกันต์ จิตมนัส

Image by Sumarto_Rofiun from Shutterstock.

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นหนึ่งในภาคส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตอาหารที่ขยายตัวเร็วที่สุดทั่วโลก ในปี 2022 ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วโลกมีปริมาณถึง 130.9 ล้านตัน มูลค่า 312.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (FAO 2024) อย่างไรก็ตาม การเพิ่มจำนวนฟาร์มที่รวดเร็วนี้ทำให้มีความเสี่ยงจากการระบาดของโรคเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม วิธีการจัดการโรคแบบดั้งเดิมในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมักพึ่งพายาปฏิชีวนะ สารเคมีและการบริหารจัดการที่เข้มงวด วิธีเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีต้นทุนสูง แต่ยังสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สะสมของสารตกค้างที่ไม่พึงประสงค์และมีส่วนช่วยให้เกิดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ด้วยเหตุนี้จึงมีความสนใจเพิ่มขึ้นในการบูรณาการการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐานเพื่อช่วยป้องกันและบรรเทาความเสียหายโรคในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน

การแก้ปัญหาที่อิงธรรมชาติคืออะไร

การแก้ปัญหาที่อิงธรรมชาติ (NbS) คือ การใช้กระบวนการและระบบนิเวศธรรมชาติเพื่อจัดการกับปัญหาต่าง ๆ เช่น การบำบัดน้ำ การควบคุมโรคและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ NbS เป็นการใช้ความสามารถในการควบคุมตนเองของระบบนิเวศเพื่อส่งเสริมสุขภาพของปลา ปรับปรุงคุณภาพน้ำและลดผลกระทบจากโรคโดยไม่ต้องพึ่งพาการใช้ยาและสารเคมีมากเกินไป การแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐานสามารถทำงานร่วมกับวิธีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบดั้งเดิม ทำให้สร้างระบบฟาร์มที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้น

การแก้ปัญหาที่อิงธรรมชาติช่วยบรรเทาโรคในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างไร

การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพผ่านระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบผสมผสานหลายระดับโภชนาการ (Integrated Multi-Trophic Aquaculture: IMTA) โดยจะมีการเพาะเลี้ยงหลายชนิด เช่น ปลา หอย และสาหร่ายในระบบนิเวศเดียวกัน ซึ่งจำลองวงจรอาหารธรรมชาติและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยก่อให้เกิดความเสถียรภาพของสภาพแวดล้อมในฟาร์ม ตัวอย่างเช่น การเพาะเลี้ยงปลาลิ่น (silver carp) และปลาซ่ง (bighead carp) สามารถควบคุมการเติบโตของไซยาโนแบคทีเรีย ซึ่งมีความสำคัญต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและป้องกันมลพิษในน้ำธรรมชาติ (Tang 2024) หอยนางรมและหอยแมลงภู่สามารถกรองกินแพลงก์ตอนและสารอินทรีย์จากน้ำ ปรับปรุงคุณภาพน้ำและลดการเจริญเติบโตของสาหร่ายที่เป็นอันตราย สาหร่ายสามารถดูดซับสารอาหารส่วนเกินในแหล่งน้ำ เช่น ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ระบบ IMTA จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคโดยการสร้างสภาพแวดล้อมทางน้ำที่สมดุลและมีสุขภาพดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ

การใช้พื้นที่ชุ่มน้ำสำหรับการกรองน้ำและการป้องกันโรค พื้นที่ชุ่มน้ำที่สร้างขึ้นหรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติสามารถบูรณาการเข้าไปในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์และระบบการกรอง พื้นที่ชุ่มน้ำทำหน้าที่เป็นตัวกรองชีวภาพธรรมชาติ โดยการขจัดสารอาหารส่วนเกินและจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายจากน้ำก่อนที่มันจะไหลเข้าสู่บ่อหรือกระชังสัตว์น้ำ ช่วยลดความเข้มข้นของตัวการที่ทำให้เกิดโรคและรักษาคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น Li (2021) รายงานว่า การใช้พื้นที่ชุ่มน้ำเทียมในฟาร์มปลาทรายแดงอู่ชาง (Megalobrama amblycepala) สามารถลดฟอสฟอรัสรวมและไนโตรเจนรวมได้ 20–50% และ 17–54% ตามลำดับ แม้ว่าไนโตรเจนและฟอสฟอรัสจะเป็นสารอาหารที่จำเป็นในระบบนิเวศการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แต่หากมันสะสมเกินขีดความสามารถในการรองรับของบ่อ สามารถทำให้เกิดภาวะน้ำเสียและคุณภาพน้ำลดลงได้ นอกจากนี้ พื้นที่ชุ่มน้ำยังเพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์ ซึ่งช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายและส่งเสริมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ซึ่งช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของปลาในฟาร์ม

ป่าชายเลนเป็นระบบนิเวศที่สำคัญหลายประการ เช่น การกรองน้ำ ที่อยู่อาศัยสำหรับสิ่งมีชีวิตในทะเล การเก็บกักคาร์บอนและการป้องกันชายฝั่ง (Trégarot 2021) ชุมชนจุลินทรีย์ในป่าชายเลนช่วยสร้างสารอาหารที่สนับสนุนการเจริญเติบโตของพืชพรรณ และให้การป้องกันจากแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ซึ่งส่งผลดีต่อความหลากหลายของสายพันธุ์ (Fusi 2022) รากของป่าชายเลนดักจับตะกอนและกรองมลพิษป้องกันไม่ให้สารที่เป็นอันตรายเข้าสู่แหล่งน้ำ นอกจากนี้ ระบบนิเวศของป่าชายเลนยังสนับสนุนสายพันธุ์ที่มีประโยชน์หลากหลายชนิดที่สามารถช่วยควบคุมจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย

ทุ่งหญ้าทะเลเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งของแนวทางแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทุ่งหญ้าพื้นทะเลเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวกรองน้ำตามธรรมชาติ โดยดักจับสารอาหารและกรองมลพิษออกจากน้ำ นอกจากนี้ หญ้าทะเลยังเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสิ่งมีชีวิตทางทะเลหลากหลายชนิด ซึ่งช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและสนับสนุนสุขภาวะโดยรวมของระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทุ่งหญ้าทะเลมีประสิทธิภาพในการบรรเทาภาวะน้ำเสีย ซึ่งเกิดจากการมีสารอาหารมากเกินไปในน้ำทำให้เกิดการเจริญเติบโตของสาหร่ายที่สามารถเป็นที่หลบซ่อนของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค เมื่อมีทุ่งหญ้าทะเลอยู่ในบริเวณนั้นจะช่วยปริมาณแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคในมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทางทะเลลดลงถึง 50% (Lamb 2017)

การใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์จากธรรมชาติเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาโรคในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โพรไบโอติกหรือแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์และจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในสภาพแวดล้อมทางน้ำสามารถนำเข้าสู่ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อเอาชนะจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายได้ โพรไบโอติกเหล่านี้ให้ประโยชน์หลายอย่างแก่สัตว์ที่เลี้ยง เช่น การย่อยอาหารที่ดีขึ้น การส่งเสริมการเจริญเติบโต การปรับภูมิคุ้มกัน การป้องกันจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค การปรับปรุงคุณภาพน้ำและสามารถใช้แทนยาปฏิชีวนะได้ (Banerjee 2017) จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เหล่านี้สร้างสภาพแวดล้อมที่จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคเพิ่มจำนวนได้ยาก ไม่เอื้อต่อการเจริญของจุลินทรีย์ก่อโรคการลดความเครียดผ่านการบูรณาการที่อยู่อาศัยธรรมชาติ

ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการระบาดของโรคในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ปลาเลี้ยงที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมมากเกินไปหรืออยู่ในพื้นที่จำกัดมักมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น หลักปฏิบัติด้านสวัสดิภาพสัตว์น้ำในการเพาะเลี้ยงมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงสภาพแวดล้อมของปลา ซึ่งช่วยลดความเครียดและส่งผลให้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายมีคุณภาพดีขึ้นและยั่งยืนมากขึ้นเมื่อออกสู่ตลาด การบูรณาการองค์ประกอบของแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ เช่น พืชน้ำจมอยู่ใต้น้ำ ก้อนหิน และที่หลบซ่อน สามารถช่วยลดความเครียดที่ปลาต้องเผชิญได้ องค์ประกอบเหล่านี้ช่วยให้ปลามีที่หลบซ่อน ออกลูก และหาอาหาร ซึ่งช่วยเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของปลาและลดความเสี่ยงต่อโรค นอกจากนี้ ผักตบชวา ที่หลบซ่อน และการเสริมกรดอะมิโน ยังสามารถลดความเครียดและพฤติกรรมก้าวร้าวในปลานิลที่เลี้ยงในฟาร์มได้ (Neto 2020) แนวทางนี้เลียนแบบระบบนิเวศตามธรรมชาติ ส่งเสริมให้ปลาแข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยงของการเกิดโรค

ประโยชน์เพิ่มเติมของแนวทางแก้ไขปัญหาที่อิงธรรมชาติ

การบูรณาการแนวทางแก้ไขปัญหาที่อิงธรรมชาติ (NbS) เข้ากับระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ประโยชน์หลายประการนอกเหนือจากการลดการแพร่ระบาดของโรค ตัวอย่างเช่น NbS ต้องการการใช้สารเคมี ยาปฏิชีวนะหรือสารฆ่าเชื้อในปริมาณที่น้อยลง ซึ่งช่วยลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แม้ว่าการนำแนวทางแก้ไขปัญหาที่อิงธรรมชาติ ไปใช้ในทางปฏิบัติอาจต้องมีการลงทุนเบื้องต้น เช่นการพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำหรือระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบผสมผสานหลายระดับโภชนาการ (IMTA) แต่ประโยชน์ระยะยาว เช่น การลดอุบัติการณ์ของโรคและการพึ่งพาสารเคมีที่น้อยลง ทำให้แนวทางนี้ เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้แนวทางแก้ไขปัญหาที่อิงธรรมชาติหลายประเภท เช่น การฟื้นฟูป่าชายเลนและการอนุรักษ์ทุ่งหญ้าทะเล ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของระบบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ทนต่อปัจจัยกดดันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นและความผันผวนของอุณหภูมิ ยิ่งไปกว่านั้น แนวทางนี้ยังช่วยส่งเสริมระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีความสำคัญไม่เพียงแค่ในการควบคุมโรคเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรอบอีกด้วย

ความท้าทายและข้อพิจารณา

แม้ว่าการแก้ปัญหาที่อิงธรรมชาติจะมีศักยภาพสูง แต่การดำเนินการก็มีความท้าทาย เช่น การฟื้นฟูป่าชายเลนหรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่ต้องการการวางแผนอย่างรอบคอบและการจัดการระยะยาว นอกจากนี้ การหาจุดสมดุลระหว่างความต้องการการใช้ประโยชน์ของมนุษย์กับการอนุรักษ์ระบบนิเวศธรรมชาติก็อาจเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบที่ NbS พยายามจะปกป้องได้ ความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จของการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน

ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะต่อไปนี้เป็นแนวทางสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในการนำแนวทางแก้ไขปัญหาที่อิงธรรมชาติ (Nature-based Solutions) มาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาโรค

เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลา สามารถใช้ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบผสมผสานหลายระดับโภชนาการ (IMTA) ซึ่งเป็นระบบที่เพาะเลี้ยงสิ่งมีชีวิตหลายชนิดร่วมกัน เช่น ปลา หอยและสาหร่ายทะเล ระบบนี้ช่วยควบคุมการระบาดของโรคโดยเพิ่มความหลากหลายของระบบนิเวศ สาหร่ายทะเลและหอยสามารถดูดซับสารอาหารส่วนเกินในน้ำ ซึ่งช่วยลดปัญหาการเกิดภาวะน้ำเสีย (eutrophication) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดของโรคในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

รัฐบาลสามารถให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแนวทางที่ใช้ธรรมชาติในการบรรเทาโรคในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งรวมถึงการศึกษาระบบนิเวศที่มีอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลน หนองน้ำและหญ้าทะเล รวมถึงบทบาทของความหลากหลายทางชีวภาพในการเสริมสร้างความต้านทานต่อโรค นอกจากนี้ยังควรส่งเสริมการให้ความรู้และการฝึกอบรมให้กับผู้ประกอบการด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเกี่ยวกับแนวทางที่ใช้ธรรมชาติ (NbS)

นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมสามารถร่วมมือกับฟาร์มการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศที่สำคัญ เช่น ป่าชายเลน ทุ่งหญ้าทะเล และหนองน้ำ ซึ่งช่วยบรรเทาการระบาดของโรคโดยการรักษาคุณภาพน้ำและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ยังสามารถให้ความรู้แก่สาธารณชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเกี่ยวกับความสำคัญของแนวทางที่ใช้ธรรมชาติในการบรรเทาโรค แสดงให้เห็นว่าระบบนิเวศที่มีสุขภาพดีไม่เพียงแต่สนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ยังช่วยให้การดำเนินงานในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีความยั่งยืนและแข็งแรงขึ้น

ชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้กับพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสามารถมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนแนวทางที่อิงกับธรรมชาติ (NbS) โดยเข้าร่วมโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูในท้องถิ่น เช่น การปลูกป่าชายเลน ซึ่งจะช่วยปกป้องแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโรคได้

สรุป

การแก้ปัญหาที่อิงธรรมชาติเป็นวิธีการที่ครอบคลุมและยั่งยืนในการป้องกันและบรรเทาโรคในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยการทำงานร่วมกับกระบวนการธรรมชาติ NbS ช่วยสร้างระบบการเพาะเลี้ยงที่มีสุขภาพดีและมีความสามารถในการฟื้นตัวสูงขึ้น พร้อมทั้งลดความจำเป็นในการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะ ในขณะที่อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำยังคงเติบโต การบูรณาการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐานจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรักษาความยั่งยืนระยะยาวและลดผลกระทบทางนิเวศวิทยาของการทำฟาร์มสัตว์น้ำ