การเพาะเลี้ยงกบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดย ดร.ชนกันต์ จิตมนัส

Image by Adisak Mitrprayoon from iStock.

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นรากฐานสำคัญของการผลิตอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน โดยมีปลาทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย กุ้งและหอย เป็นสัตว์น้ำหลักที่นิยมเลี้ยง อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา การเพาะเลี้ยงกบ โดยเฉพาะกบนา (Hoplobatrachus rugulosus) ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย เวียดนามและกัมพูชา ภาคเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นใหม่นี้สะท้อนถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของกบในการเป็นแหล่งโปรตีนที่ยั่งยืน และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับการบูรณาการของภาคส่วนนี้เข้ากับแนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงกบเมื่อดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบจะให้ประโยชน์ทางนิเวศวิทยา เศรษฐกิจ และโภชนาการที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน

การขยายตัวของการเลี้ยงกบ

การเลี้ยงกบในประเทศไทยเริ่มขยายตัวในช่วงทศวรรษ 1980 เพื่อตอบสนองต่อความต้องการบริโภคเนื้อกบที่สูงขึ้นทั้งในประเทศและเพื่อการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น จีน ไต้หวันและสหรัฐอเมริกา ในช่วงแรกผลผลิตกับจะได้จากการจับจากธรรมชาติ แต่กิจกรรมนี้นำไปสู่ความไม่สมดุลของระบบนิเวศและการลดลงของประชากรกบในธรรมชาติ เมื่อเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการจัดการที่ยั่งยืน เกษตรกรไทยจึงเริ่มพัฒนาระบบฟาร์มปิดเพื่อการเลี้ยงกบ ปัจจุบัน การเลี้ยงกบได้แพร่หลายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในเวียดนามไปจนถึงที่ราบของประเทศลาวและชนบทในอินโดนีเซีย ในปี 2023 ประเทศไทยมีการผลิตกบประมาณ 2,266 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 155 ล้านบาท (DOF 2024)

กบมีความเหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงในภูมิภาคนี้ เนื่องจากสามารถปรับตัวได้ดีกับสภาพอากาศร้อนชื้น และมีความต้องการอาหารไม่ซับซ้อน วงจรการสืบพันธุ์สั้นและให้ลูกพันธุ์จำนวนมากทำให้เหมาะสำหรับฟาร์มขนาดเล็ก นอกจากนี้ กบยังใช้ทรัพยากรน้ำและที่ดินน้อยกว่าสัตว์บกชนิดอื่น ๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีในแง่สิ่งแวดล้อม

แนวทางปฏิบัติในการเลี้ยงกบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เพื่อให้การเพาะเลี้ยงกบสอดคล้องกับแนวคิดการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ได้มีการพัฒนาแนวทางปฏิบัติดังนี้

ฟาร์มเลี้ยงกบสมัยใหม่ใช้ระบบหมุนเวียนน้ำหรือบ่อขนาดเล็กที่มีการกรองและบำบัดน้ำก่อนนำ เพื่อลดการปล่อยน้ำเสียสู่สิ่งแวดล้อม น้ำเสียจะได้รับการบำบัดโดยวิธีการตกตะกอนตามธรรมชาติและการกรองทางชีวภาพก่อนที่จะนำกลับมาใช้ใหม่หรือปล่อยออก เพื่อลดความเสี่ยงของมลพิษทางน้ำและภาวะยูโทรฟิเคชันในระบบนิเวศใกล้เคียง งานวิจัยโดย Mello (2016) เกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบหมุนเวียนน้ำในการเลี้ยงกบวัว รายงานว่า สารอินทรีย์ในน้ำสามารถกำจัดออกได้โดยเฉลี่ยถึง 87% และกบที่เลี้ยงในระบบนี้มีอัตราการเพิ่มน้ำหนักที่น่าพอใจและมีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 97%

เกษตรกรรายย่อยหลายรายได้ทดลองใช้ทางเลือกในการให้อาหารที่มาจากแมลงและพืช เพื่อลดการพึ่งพาอาหารสำเร็จรูป ซึ่งมักมีปลาป่นที่มาจากการประมงทางทะเลที่เกินขนาด นอกจากนี้การผสมหนอนแมลงวันลายหรือผลพลอยได้ทางการเกษตรบางส่วนเข้าไปในอาหารสัตว์ยังสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและช่วยส่งเสริมความยั่งยืนในการเลี้ยงสัตว์อีกด้วย (Nghia 2023)

สารกำจัดศัตรูพืชมีผลกระทบในทางลบต่อสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เป้าหมายและระบบนิเวศ ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวอ่อนกบ กระทบต่อกระบวนการเปลี่ยนรูปร่าง ลดภูมิคุ้มกันและความเสียหายต่ออวัยวะสืบพันธุ์ (Carrasco 2021) นอกจากนี้ เชื้อรามีชื่อว่า Batrachochytrium dendrobatidis ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างกบลดลงอย่างรุนแรง (Adams 2017) การส่งเสริมการเลี้ยงกบในฟาร์มจึงช่วยลดแรงกดดันต่อประชากรกบในธรรมชาติ บางโครงการที่ดำเนินการโดยชุมชนยังได้บูรณาการการเลี้ยงกบเข้ากับเป้าหมายด้านการอนุรักษ์ เช่น การปล่อยกบกลับคืนสู่พื้นที่ชุ่มน้ำที่ได้รับการคุ้มครอง และการจัดกิจกรรมการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในเรื่องของกบอีกด้วย

ในประเทศเวียดนามและกัมพูชา มักมีการเลี้ยงกบร่วมกับการทำนาหรือการเลี้ยงปลา ระบบเกษตรผสมผสานแบบนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ที่ดินและควบคุมศัตรูพืชตามธรรมชาติ ลดความจำเป็นในการใช้สารเคมี กำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมี นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของกบยังอาจช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน (CH4) จากนาข้าว ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน (Fang 2019)

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการเลี้ยงกบ

การเลี้ยงกบช่วยส่งเสริมการดำรงชีวิตของเกษตรกรในชนบท โดยเป็นแหล่งรายได้ที่เหมาะสม การลงทุนเริ่มต้นไม่สูงและใช้พื้นที่ไม่มาก จึงเหมาะกับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย รวมถึงสตรีและเยาวชนในประเทศไทย กลุ่มสหกรณ์ชุมชนและหน่วยงานภาครัฐมีบทบาทสำคัญในฝึกอบรมเกษตรกรให้ปฏิบัติตามแนวทางที่ยั่งยืนและเชื่อมโยงเกษตรกรสู่ตลาด

นอกจากนี้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความต้องการบริโภคเนื้อกบยังคงสูงในหลากหลายบริบททางวัฒนธรรม ซึ่งถือว่าเนื้อกบเป็นอาหารรสเลิศและมีสรรพคุณทางยาในความเชื่อพื้นบ้าน ความยอมรับนี้จึงช่วยสร้างตลาดที่มั่นคงและส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงมากยิ่งขึ้น

ความท้าทายและทิศทางในอนาคตของการเลี้ยงกบ

แม้จะมีแนวโน้มที่ดี แต่การเลี้ยงกบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเผชิญกับความท้าทาย เช่น การระบาดของโรค โดยเฉพาะเชื้อรา chytridiomycosis ที่คุกคามทั้งกบในฟาร์มและในธรรมชาติ ฟาร์มที่ขาดการจัดการที่ดีอาจสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำเสียไม่ได้บำบัด หรือการปล่อยกบสายพันธุ์ต่างถิ่นลงธรรมชาติ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่เข้มงวดและการให้ความรู้แก่เกษตรกร

นอกจากนี้ ความต้องการสินค้าที่มีความยั่งยืนและจริยธรรมในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงกบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องพัฒนาแนวทางรับรองและระบบตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคว่ากระบวนการผลิตมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

การเลี้ยงกบเป็นแนวทางใหม่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากดำเนินการตามหลักความยั่งยืน ทั้งระบบน้ำปิด อาหารอินทรีย์ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และระบบเกษตรผสมผสาน จะสามารถช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมเศรษฐกิจและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร ความเป็นผู้นำของประเทศไทยในด้านนี้สามารถเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนวัตกรรมเชิงธรรมชาติในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำยุคใหม่ ในยุคที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรง การผสานองค์ความรู้ดั้งเดิมกับแนวทางความยั่งยืนยุคใหม่จะมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตและความสำเร็จของการเลี้ยงกบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้