การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล: แนวทางในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

โดย ดร.ชนกันต์ จิตมนัส

Image by Brytta from iStock.

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย พึ่งพาระบบนิเวศแหล่งน้ำจืดและชายฝั่งในการดำรงชีวิต การผลิตอาหาร และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเสื่อมโทรมของทะเล ภาวะโลกร้อน และความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality) ในการเข้าถึงทรัพยากร ทำให้เกิดความสนใจมากขึ้นในแนวทางในการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-Based Solutions: NbS) เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืน การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลเป็นวิถีปฏิบัติที่มีมาอย่างยาวนานในภูมิภาค กำลังถูกนำเสนอใหม่ให้เป็นมากกว่าช่องทางสร้างรายได้ แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายทั้งทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน การผลิตสาหร่ายทะเลจากการเพาะเลี้ยงมีปริมาณถึง 35.8 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของผลผลิตสาหร่ายทะเลทั่วโลก โดยมีมูลค่าตลาดกว่า 11.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (Sultana 2023) บทความนี้มุ่งสำรวจศักยภาพของการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ในฐานะแนวทางปฏิบัติตามธรรมชาติที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เสริมสร้างพลังทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้หญิงและเพิ่มความมั่นคงทางอาหารในระดับภูมิภาค

สาหร่ายทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: คุณค่าทางนิเวศและเศรษฐกิจ

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคผู้ผลิตสาหร่ายทะเลเขตร้อนรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะสายพันธุ์อย่าง สาหร่ายพวงองุ่น (Caulerpa lentillifera) สาหร่ายผมนาง (Gracilaria fisheri) สาหร่ายผักกาดทะเล (Ulva rigida) มอสทะเลกวาง (Kappaphycus alvarezii) และสาหร่ายทะเลสีแดง (Eucheuma denticulatum) (Basyuni 2024) สาหร่ายเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง ยาและบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ นอกเหนือจากประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว สาหร่ายยังมีบทบาทในการให้บริการทางระบบนิเวศ เช่น การดูดซับธาตุอาหาร การป้องกันชายฝั่งและการกักเก็บคาร์บอน การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลในประเทศไทยขยายตัวในหลายจังหวัด เช่น เพชรบุรี สตูล สงขลา สุราษฎร์ธานีและตรัง โดยมักผสมผสานเข้ากับระบบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำผสมผสานร่วมกับปลาหรือหอย

การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลในฐานะการปฏิบัติตามแนวทางธรรมชาติ

การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลสะท้อนหลักการหลายประการของแนวทางในการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐานได้แก่ การฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม การส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและการสร้างแหล่งทำกินที่ยั่งยืน ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิดในระบบเดียวกัน (Integrated Multi-Trophic Aquaculture: IMTA) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีการเพาะเลี้ยงสาหร่ายร่วมกับกุ้ง ปลา หรือหอย เพื่อช่วยดูดซับธาตุอาหารส่วนเกินและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนี้แตกต่างจากการเลี้ยงสัตว์น้ำเชิงเดี่ยวแบบหนาแน่น เนื่องจากเลียนแบบกระบวนการตามธรรมชาติและช่วยเสริมความยืดหยุ่นของระบบชายฝั่ง

จากกรณีศึกษาในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียพบว่า การเพาะเลี้ยงสาหร่ายสามารถช่วยลดแรงกดดันต่อทรัพยากรสัตว์น้ำในธรรมชาติที่ถูกใช้ประโยชน์เกินขีดจำกัด พร้อมทั้งเป็นทางเลือกในการเสริมรายได้ให้กับเกษตรกรในประเทศไทย โครงการนำร่องที่เชื่อมโยงฟาร์มสาหร่ายกับตลาดคาร์บอนสีน้ำเงินหรือตลาดซื้อขายเครดิตคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง (blue carbon markets) กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการขยายผล NbS เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ผู้หญิงในห่วงโซ่มูลค่าของสาหร่ายทะเล

ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล แม้บทบาทดังกล่าวมักไม่ได้รับการยอมรับอย่างเพียงพอในประเทศที่มีรายได้ต่ำและประเทศกำลังพัฒนา การส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลได้รับการยกย่องว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีพลังในการเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงในชุมชนชายฝั่ง (Sultana 2023) หลายประเทศในเอเชีย เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และศรีลังกา ผู้หญิงในชุมชนชายฝั่งมีส่วนร่วมในกิจกรรมเกี่ยวกับสาหร่ายทะเล ทั้งการตากแห้ง แปรรูปและจำหน่าย เพื่อสร้างรายได้และสนับสนุนค่าใช้จ่ายในครัวเรือน (Sultana 2023) การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในฟาร์มสาหร่ายที่ประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้เกิดความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้นและได้รับการยอมรับทางสังคม ซึ่งแนวโน้มนี้พบในประเทศมาเลเซียและฟิลิปปินส์เช่นเดียวกัน (Msuya 2017) สำหรับประเทศไทย แม้ผู้หญิงจะมีบทบาทในการเพาะเลี้ยงสาหร่าย แต่ยังคงเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น การถือครองทรัพย์สินในการผลิต การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

การส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในห่วงโซ่มูลค่าสาหร่ายทะเลสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับครัวเรือนและชุมชน เช่น การปรับปรุงโภชนาการของครอบครัว การกระจายแหล่งรายได้และการเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบูรณาการยุทธศาสตร์ที่คำนึงถึงความเท่าเทียมทางเพศ เช่น การจัดอบรม การให้สิทธิในที่ดิน และการส่งเสริมในเรื่องการรวมกลุ่ม เข้าไปในโครงการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่เท่าเทียมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สาหร่ายทะเลและความมั่นคงทางอาหาร

สาหร่ายทะเลมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร โดยเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็น ไอโอดีนและใยอาหาร นอกจากนี้ สาหร่ายยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาความยั่งยืนของระบบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำและลดความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ ในชุมชนชายฝั่งของประเทศไทยและเมียนมา มีการนำสาหร่ายมาใช้ในอาหารท้องถิ่นและโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนมากขึ้น ส่งเสริมทั้งด้านโภชนาการและความมั่นคงทางอาหาร

ยิ่งไปกว่านั้น บทบาทของสาหร่ายในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการดูดซับคาร์บอนยังช่วยปกป้องความสามารถในการผลิตของระบบนิเวศชายฝั่งในระยะยาว ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตอาหาร จากข้อมูลของ Hossain (2021) การเก็บเกี่ยวสาหร่ายเชิงพาณิชย์ช่วยดูดซับคาร์บอนประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี คิดเป็นประมาณ 3.2% ของคาร์บอนที่เข้าสู่มหาสมุทรจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลก การเพาะเลี้ยงสาหร่ายมีบทบาทสำคัญในการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในชั้นบรรยากาศ โดยสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1.5 เพตะกรัมต่อปีจากการผลิตทั้งหมด (Krause-Jensen 2016) ดังนั้น สาหร่ายจึงถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดูดซับคาร์บอนในระบบนิเวศพืชพรรณทางทะเล (Duarte 1996)

ความท้าทายและโอกาสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพสูง แต่ก็เผชิญกับความท้าทายหลายประการที่อาจขัดขวางการพัฒนาอย่างยั่งยืน หนึ่งในข้อกังวลสำคัญคือความเปราะบางของภาคส่วนนี้ต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นและพายุที่เกิดบ่อยขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิต นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยังเผชิญกับความไม่แน่นอนของตลาด เนื่องจากพึ่งพาผลิตภัณฑ์ส่งออกเพียงไม่กี่ประเภท อีกทั้งการเพาะเลี้ยงสาหร่ายในแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนอาจทำให้สาหร่ายดูดซับสารอันตราย โดยเฉพาะโลหะหนัก ซึ่งในบางสายพันธุ์พบว่าสามารถสะสมสารพิษเหล่านี้ได้ (Giusti 2001) และอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์หากบริโภคเข้าไป

อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งคือการขาดนโยบายที่รอบด้านและเป็นทางการในการรับรองว่าการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลเป็นแนวทางการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน(Nature-based Solution – NbS) ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถบูรณาการเข้ากับยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาในภาพรวมได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำทางเพศ โดยเฉพาะในแง่ของการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสอย่างเท่าเทียมในภาคอุตสาหกรรมนี้ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเหล่านี้สามารถเปิดทางไปสู่โอกาสสำคัญในการเติบโตที่ครอบคลุมและมีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ ยังมีโอกาสที่จะบูรณาการการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลเข้ากับยุทธศาสตร์การปรับตัวระดับชาติ การบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่ง และกลไกทางการเงินเพื่อคาร์บอนในระดับสากล ความร่วมมือในระดับภูมิภาคผ่านกลไกของอาเซียนยังสามารถช่วยปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกัน และเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างประเทศสมาชิกอีกด้วย

ข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางปฏิบัติ

มีข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่ควรดำเนินการสำหรับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลได้อย่างเต็มที่ ประการแรก ควรบูรณาการการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลเข้ากับยุทธศาสตร์ระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน(Nature-based Solutions: NbS) และการเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อยกระดับบทบาทของสาหร่ายในกระบวนการพัฒนาอย่างยั่งยืน การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศเป็นสิ่งจำเป็น โดยควรสนับสนุนให้ผู้หญิงมีบทบาทในห่วงโซ่มูลค่าของสาหร่ายมากขึ้นผ่านการฝึกอบรม การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการส่งเสริมบทบาทความเป็นผู้นำ นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจทางการตลาดที่ยั่งยืนสำหรับสาหร่ายที่ผลิตในประเทศ ร่วมกับการพิจารณาแนวทางกลไกคาร์บอนเครดิตทางทะเล (Blue Carbon Credit) จะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมนี้ สุดท้าย การส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรชายฝั่งที่มีความครอบคลุมและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของผู้หญิงและกลุ่มชนพื้นเมือง จะช่วยสร้างประโยชน์ทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

บทสรุป

การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล หากออกแบบให้เป็นแนวทางการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based Solution) มีศักยภาพในการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล เสริมสร้างพลังให้กับผู้หญิงในชุมชนชายฝั่งและส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารในระดับภูมิภาคไปพร้อมกัน ประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความได้เปรียบเฉพาะตัวในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ไปข้างหน้า การกำหนดนโยบายที่ครอบคลุมและบูรณาการอย่างทั่วถึงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้ศักยภาพของสาหร่ายทะเลได้อย่างเต็มที่ในฐานะทางออกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจสีฟ้าและมีความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน