โดย ดร.ปราณีต งามเสน่ห์

“ธนาคารปู” คือแนวทางการจัดการทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งโดยชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ปูอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะปูม้า (Portunus pelagicus) หรือปูทะเลอื่นๆ แนวคิดหลักคือการรวบรวมปูเพศเมียที่มีไข่นอกกระดอง (ซึ่งมีไข่ติดอยู่ใต้ท้อง) ที่ชาวประมงจับได้จากแหล่งธรรมชาติ และนำมาพักไว้ในกระชังหรือคอกกั้นในทะเลที่ควบคุมได้ชั่วคราว เพื่อให้แม่ปูได้ปล่อยไข่ตามธรรมชาติในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ก่อนที่จะปล่อยแม่ปูกลับคืนสู่ทะเล หรือนำไปใช้ประโยชน์ตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะของแต่ละชุมชน (Kar 2020)
เหตุผลของการจัดตั้งธนาคารปู มาจากความจำเป็นในการฟื้นฟูและเพิ่มจำนวนประชากรปูในธรรมชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการจับปูเพศเมียที่มีไข่มากเกินไปจนทำให้ประชากรลดลงในระยะยาว การสร้างพื้นที่วางไข่ที่ปลอดภัยช่วยเพิ่มอัตรารอดของลูกปูวัยอ่อน ซึ่งสนับสนุนการฟื้นตัวของทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Thiammueang 2012)
ในแง่มุมทางเศรษฐกิจและสังคม ธนาคารปูมีต้นทุนเริ่มต้นต่ำ ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน และอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับชุมชนประมงขนาดเล็ก นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังช่วยสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของทรัพยากรในหมู่ชาวประมง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการทรัพยากรทางน้ำ และสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้างเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทางทะเล โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน โรงเรียน และสถาบันในท้องถิ่น (Kar 2020)
รูปแบบของธนาคารปูเป็นการบูรณาการระหว่างการอนุรักษ์ ความยั่งยืนของวิถีชีวิตชุมชน และการมีส่วนร่วมของสาธารณะ โดยทำหน้าที่เป็นตัวอย่างสำคัญของการจัดการประมงชายฝั่งที่มีประสิทธิภาพในบริบทของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ธนาคารปูม้าในประเทศไทย
แนวคิดและเหตุผลในการจัดตั้งธนาคารปูม้าในประเทศไทยมีรากฐานมาจากวิกฤตเร่งด่วนที่คุกคามทรัพยากรปู ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยเห็นได้ชัดในอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่จำนวนประชากรปูม้าลดลง 20-30% ระหว่างปี พ.ศ. 2540 ถึง 2554 เนื่องจากการจับปลามากเกินไปและการจับปูที่ไม่ได้ขนาดและปูเพศเมียที่มีไข่ก่อนการวางไข่ พบว่าขนาดเมื่อปูเริ่มเจริญพันธุ์ลดลงจาก 9.75 ซม. เหลือเพียง 8.4 ซม. และอัตราการผลิตไข่ลดลงถึง 47% ภายในห้าปี (Sawusdee 2023) การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพและความยั่งยืนของประชากรปู
การจัดตั้งธนาคารปูช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่มุ่งขจัดความยากจน อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Pinlap 2022)
ขั้นตอนและกระบวนการดำเนินงานของธนาคารปู
การดำเนินงานของธนาคารปูประกอบด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรและการพัฒนาชุมชน (Sawusdee 2023)
กระบวนการเริ่มต้นด้วยการคัดเลือกแม่ปูที่มีไข่สมบูรณ์และใกล้ฟักไข่ โดยต้องเก็บและขนส่งอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายทางกายภาพ การรักษาความเค็มของน้ำ (ประมาณ 28 PSU) และอุณหภูมิ (28-32 °C) ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้
ขั้นตอนต่อไปคือการอนุบาลลูกปู แบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่ ระยะโซเอีย (Zoea) ระยะเมกาโลปา (Megalopa) และปูวัยอ่อน (Young crab) ระยะโซเอีย ใช้เวลาประมาณ 10-14 วัน โดยลูกปูจะได้รับอาหารประเภทโรติเฟอร์หรืออาร์ทีเมีย แล้วเปลี่ยนเข้าสู่ระยะเมกาโลปา ใช้เวลา 5-7 วัน ในระยะนี้ต้องมีการแยกเลี้ยงเพื่อป้องกันการกินกันเอง ระยะสุดท้ายคือปูวัยอ่อนจะอนุบาลต่อไปอีก 3-4 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าลูกปูรอดชีวิตและพัฒนาได้อย่างเหมาะสม การใช้ระบบถังคู่ช่วยปรับปรุงสภาพการฟักไข่และเพิ่มอัตรารอดของลูกปู
หลังจากการอนุบาล ลูกปูจะถูกปล่อยกลับคืนสู่แหล่งอาศัยตามธรรมชาติ โดยมักจะปล่อยในเวลากลางคืนเพื่อเพิ่มอัตรารอด และมีการปล่อยในหลายจุดเพื่อกระจายประชากรปูให้ครอบคลุม บริเวณที่เหมาะสมสำหรับการปล่อยคือหาดทรายหรือแนวปะการังที่มีความเค็มของน้ำระหว่าง 25-32 PSU
ขั้นตอนสุดท้ายเน้นที่การบริหารจัดการธนาคารปู ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และสาขาในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแบ่งปันความรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานและส่งเสริมความยั่งยืน ธนาคารปูควรใช้พลังงานแสงอาทิตย์และระบบแสงสว่างจากธรรมชาติ นอกจากนี้ การมีคู่มือการปฏิบัติงานจะช่วยให้ขั้นตอนต่างๆ เป็นมาตรฐาน และการใช้พลังงานหมุนเวียนยังช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 30% (Sawusdee 2023)
ผลลัพธ์จากการดำเนินงานของธนาคารปู
จากข้อมูลของกรมประมง (DOF 2019) และ Sawusdee (2023) ธนาคารปูที่ดำเนินการโดยชุมชนในจังหวัดตรัง ประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเพิ่มจำนวนประชากรปูม้าอย่างเห็นได้ชัด โดยพบว่าแม่ปูหนึ่งตัวสามารถผลิตไข่ได้ประมาณ 1,000,000 ฟอง ด้วยอัตราการรอดชีวิตเพียง 0.16% จะมีปูที่เติบโตเต็มวัยได้ประมาณ 160 ตัว
แม้ว่าโครงการฟักลูกปูจะช่วยเพิ่มอัตรารอดของตัวอ่อนในระยะแรกได้อย่างมาก แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดจนโตเต็มวัย ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการปล่อยลูกปูในวงกว้างและปล่อยซ้ำหลายครั้ง รวมถึงการเลือกพื้นที่ปล่อยอย่างรอบคอบเพื่อเพิ่มอัตรารอดในธรรมชาติให้ได้สูงสุด โครงการนี้ยังทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องผ่านการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์อย่างสม่ำเสมอ และการปล่อยลูกปูหลายครั้งต่อปีในแต่ละธนาคารปู
ตัวเลขของลูกปูที่ได้จากแม่ปูหนึ่งตัวสรุปให้เห็นถึงวิวัฒนาการของประชากรปูม้าจากโรงเพาะฟักจนถึงการปล่อยได้อย่างชัดเจน โดยแม่ปูหนึ่งตัววางไข่ 1,000,000 ฟอง ซึ่งจะลดลงเหลือ 650,000 ตัวในระยะโซเอีย และลดลงเหลือ 21,000 ตัวในระยะปูวัยอ่อน มีเพียง 160 ตัวเท่านั้นที่รอดชีวิตจนโตเต็มวัย ซึ่งคิดเป็น 0.16% ของจำนวนไข่เริ่มต้น ทั้งนี้ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ธนาคารปูแต่ละแห่งจะปล่อยปูสู่ธรรมชาติปีละ 5 ครั้ง และนำพ่อแม่พันธุ์ปูเข้าสู่ธนาคารเดือนละ 20 ตัว
ขณะเดียวกัน ชุมชนได้เข้ามามีบทบาทอย่างแข็งขันตลอดกระบวนการทั้งหมด ส่งผลให้เกิดความตระหนักด้านการอนุรักษ์เพิ่มขึ้น และมีการพัฒนารูปแบบการปฏิบัติร่วมกันในพื้นที่ ทำให้กลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้กับชุมชนชายฝั่งอื่นๆ และพัฒนาเป็นนโยบายท้องถิ่นได้ นอกจากนี้ ธนาคารปูยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจรากหญ้าด้วยการสร้างรายได้และลดต้นทุนการประมงให้กับชาวบ้านในท้องถิ่นอีกด้วย
ธนาคารปูและการเพาะเลี้ยงปูอย่างยั่งยืน
การจัดตั้งธนาคารปูมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืนของการเพาะเลี้ยงปูในประเทศต่างๆ ทั่วเอเชีย โครงการที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนเหล่านี้ช่วยเพิ่มประชากรปู เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ และสนับสนุนความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเครื่องมืออนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับผลกระทบจากการจับปลาเกินขนาด
ธนาคารปูช่วยเพิ่มผลผลิตปูวัยอ่อน ดังที่เห็นในประเทศไทยซึ่งผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายใน 4-8 เดือนหลังการดำเนินโครงการ (Arkronrat 2013) ส่วนโครงการปล่อยปูในระยะยาว เช่นที่อ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ช่วยเพิ่มมวลชีวภาพของปู และปรับปรุงความยืดหยุ่นทางนิเวศวิทยามานานกว่าทศวรรษ (Sawusdee 2023)
ความสำเร็จของธนาคารปูมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่น ในจังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย ความร่วมมือระหว่างชาวประมงนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (Thiammueang 2012) ในทำนองเดียวกัน กับธนาคารปูในกัมพูชาดำเนินการภายใต้กรอบการจัดการประมงของชุมชน ซึ่งส่งเสริมจิตสำนึกความเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบในท้องถิ่น (Sopanha 2012)
นอกจากนี้ ธนาคารปูยังแสดงให้เห็นว่ามีความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ เทคนิคการเพาะเลี้ยงปูอีกอย่างหนึ่งคือวิธี “ปูคอนโด” ซึ่งนำปูไปใส่ในอุปกรณ์ที่เรียกว่า “ลูกบอลปู” (crab ball) แล้วนำไปแขวนไว้กับต้นโกงกาง ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตปูในระบบนิเวศป่าชายเลน (Prasetyo 2023) และแสดงให้เห็นถึงความประหยัดทางการเงินในการเพาะเลี้ยงในป่าชายเลน ยิ่งไปกว่านั้น โครงการเหล่านี้ยังช่วยสร้างรายได้ทางเลือกให้กับชุมชนชายฝั่งทะเล ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดความยากจน (Sopanha 2012)
ความท้าทายต่อความยั่งยืนของธนาคารปู
ธนาคารปูที่ดำเนินการโดยชุมชน ซึ่งทำหน้าที่พักแม่ปูที่มีไข่ชั่วคราวจนกว่าจะวางไข่ เป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการฟื้นฟูประชากรปู อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนในระยะยาวนั้นถูกขัดขวางด้วยความท้าทายหลายประการ ทั้งในด้านนิเวศวิทยา สังคม-เศรษฐกิจ และสถาบัน
การจับปูมากเกินไป เช่นที่พบในกัมพูชา ทำให้จำนวนพ่อแม่พันธุ์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจำกัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของธนาคารปู (Sopanha 2012) ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำและสภาพที่อยู่อาศัยรบกวนวงจรการวางไข่ของปูและการรอดชีวิตของลูกปูวัยอ่อน ยังสร้างความยากลำบากเพิ่มเติมในการอนุรักษ์ (Natan 2021)
ชุมชนชายฝั่งหลายแห่งพึ่งพาการจับปูเพื่อดำรงชีวิตอย่างมาก แรงกดดันนี้มักนำไปสู่การจับแม่ปูที่มีไข่ก่อนกำหนด ซึ่งบ่อนทำลายเป้าหมายของธนาคารปูโดยตรง (Natan 2021) ยิ่งไปกว่านั้น ราคาปูในตลาดที่ต่ำทำให้แรงจูงใจทางการเงินของชาวประมงในการเข้าร่วมหรือลงทุนในแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนเช่นธนาคารปูลดลง (Monteiro 2024)
การขาดกรอบการจัดการที่แข็งแกร่งในภาคการประมงขนาดเล็กหลายแห่ง จำกัดประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของโครงการธนาคารปู (Natan 2021) รวมทั้งนโยบายที่ไม่สอดคล้องกันและการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอยิ่งส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในระยะยาวของโครงการ (Monteiro 2024)
กล่าวโดยสรุป ความยั่งยืนของโครงการธนาคารปูถูกท้าทายด้วยปัจจัยด้านนิเวศวิทยา สังคม-เศรษฐกิจ และสถาบันรวมกัน การจับสัตว์น้ำมากเกินขนาดและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมลดจำนวนและความสำเร็จในการขยายพันธุ์ของพ่อแม่พันธุ์ปู ขณะที่การพึ่งพาทางเศรษฐกิจจากการจับปูและราคาตลาดที่ต่ำทำให้แรงจูงใจของชุมชนในการอนุรักษ์ระยะยาวลดลง นอกจากนี้ การขาดกรอบการกำกับดูแลที่แข็งแกร่งและการบังคับใช้กฎระเบียบที่ไม่สอดคล้องกันยังจำกัดประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของโครงการธนาคารปู ความยั่งยืนในระยะยาวของธนาคารปูจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสามารถแก้ไขความท้าทายเชิงระบบเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ทางสังคมของธนาคารปู
ธนาคารปูมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคมด้วยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน
ธนาคารปูส่งเสริมการเสริมสร้างศักยภาพชุมชน โดยกระตุ้นให้ชาวประมงรวมกลุ่ม สร้างเครือข่าย และพัฒนากฎเกณฑ์ร่วมกันในการจัดการทรัพยากร ตัวอย่างเช่น การกำหนดขนาดและปริมาณการจับปูเพื่อช่วยลดการทำประมงผิดกฎหมายและสร้างความมั่นใจในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน (SPC 2010) เพื่อป้องกันความขัดแย้ง ชุมชนได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นธรรมสำหรับการใช้ทรัพยากร ซึ่งช่วยลดข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ร่วมกัน (Kar 2020)
ธนาคารปูช่วยเพิ่มพูนองค์ความรู้ในชุมชนผ่านการให้ความรู้แก่สาธารณะเกี่ยวกับชีววิทยาของปูม้า เทคนิคการเพาะฟัก และการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและความตระหนักด้านการอนุรักษ์และความยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น การปล่อยลูกปูวัยอ่อนคืนสู่ธรรมชาติ (DOF 2022) เนื่องจากความเท่าเทียมทางเพศมีความสำคัญต่อความยั่งยืน ผู้หญิงจึงได้รับโอกาสในการมีส่วนร่วมในบทบาทต่างๆ เช่น การดำเนินงานในโรงเพาะฟักปู การจัดการธุรกิจอาหารทะเล และการทำหน้าที่เป็นวิทยากรประจำศูนย์การเรียนรู้ (Kusakabe 2022)
ธนาคารปูช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชน ด้วยการเพิ่มจำนวนประชากรปูม้าในแหล่งอาศัยตามธรรมชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการในการบริโภค และการแปรรูปของชุมชน ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าอาหารทะเลและเพิ่มความยั่งยืนของอาหารในท้องถิ่น
ธนาคารปูจึงไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์การอนุรักษ์ทางทะเลเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในมิติต่างๆ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ผ่านการมีส่วนร่วม การเสริมสร้างศักยภาพ การสร้างรายได้ และการเปิดรับความหลากหลาย
บทสรุป
โครงการธนาคารปูในชุมชนได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและมีประสิทธิภาพ ในการเสริมสร้างความยั่งยืนของประชากรปูม้า พร้อมทั้งส่งเสริมความยืดหยุ่นทางสังคม เศรษฐกิจ และนิเวศวิทยาในชุมชนชายฝั่ง ด้วยการมุ่งเน้นการปกป้องและปล่อยแม่ปูที่มีไข่ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ รูปแบบการมีส่วนร่วมนี้ช่วยเพิ่มผลผลิตปูวัยอ่อน และปรับปรุงสมดุลทางนิเวศวิทยาในแหล่งที่อยู่อาศัยทางทะเลที่ถูกใช้ประโยชน์เกินขนาด
ความสำเร็จของธนาคารปูมาจากการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น การมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ และการใช้เทคโนโลยีที่เรียบง่ายและมีต้นทุนต่ำ นอกเหนือจากประโยชน์ทางนิเวศวิทยาแล้ว โครงการนี้ยังส่งเสริมการเสริมสร้างศักยภาพชุมชน สนับสนุนอาชีพทางเลือก และมีส่วนช่วยในด้านความมั่นคงทางอาหารและความเท่าเทียมทางเพศ ผลกระทบที่หลากหลายเหล่านี้ทำให้ธนาคารปูเป็นต้นแบบที่สามารถนำไปทำซ้ำได้สำหรับการจัดการประมงอย่างยั่งยืนในส่วนอื่น ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และที่อื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายอยู่ ซึ่งรวมถึงความผันแปรทางนิเวศวิทยา แรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคม และการสนับสนุนจากสถาบันที่ยังอ่อนแอ การแก้ไขอุปสรรคเหล่านี้จำเป็นต้องมีการประสานงานเชิงนโยบาย เสริมสร้างกรอบการกำกับดูแล และการลงทุนระยะยาวในการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ดังนั้น ธนาคารปูจึงควรถูกผนวกรวมเข้ากับกลยุทธ์การจัดการร่วมและกลยุทธ์การจัดการระบบนิเวศในวงกว้าง เพื่อรับประกันความยั่งยืนในระยะยาวและเพิ่มคุณูปการสูงสุดต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการพัฒนาชายฝั่งอย่างยั่งยืน
