โดย Vuong Kha Tu

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนามเป็นเสาหลักสำคัญของการผลิตอาหารทะเลทั่วโลก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยและความต้องการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่เพิ่มสูงขึ้น การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนนักวิจัยและผู้กำหนดนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน บทความนี้ได้ทบทวนวิเคราะห์งานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งศึกษาบทบาทของ LCA วิธีการผลิตที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภูมิภาค และชนิดพันธุ์หลักที่เพาะเลี้ยง นอกจากนี้ บทความยังประเมินจุดแข็งและความท้าทายของระเบียบวิธี LCA พร้อมทั้งเสนอแนวทางในอนาคตเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเวียดนาม: ข้อมูลพื้นฐาน
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นเสาหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาอย่างยาวนาน โดยในระยะหลังภูมิภาคนี้มีส่วนแบ่งการผลิตทั่วโลกเกือบ 90% (FAO 2020) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวียดนาม ได้กลายเป็นศูนย์กลางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่สำคัญ โดยมีพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งผลิตสัตว์น้ำมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ภูมิภาคนี้ยังเป็นแหล่งสร้างรายได้และอาชีพให้แก่ผู้คนนับล้าน และสร้างรายได้จากการส่งออกจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์กุ้งและปลาสวาย ซึ่งเป็นสองชนิดพันธุ์ที่เป็นที่ต้องการสูงในตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางน้ำและการสูญเสียที่อยู่อาศัย ซึ่งนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเวียดนาม: สถานการณ์ปัจจุบัน
ชนิดพันธุ์สัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงสะท้อนให้เห็นถึงทั้งการปรับตัวทางนิเวศวิทยาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ กุ้งขาว (Litopenaeus vannamei) เจริญเติบโตได้ดีในน้ำกร่อย เติบโตเร็ว และเป็นชนิดพันธุ์หลักที่เลี้ยงในระบบการเลี้ยงแบบหนาแน่นสูง อย่างไรก็ตาม ในระบบดังกล่าว การจัดการการเพาะเลี้ยงที่ไม่ดีอาจนำไปสู่ปัญหามลพิษทางน้ำได้ (Quyen 2020) ปลาสวาย (Pangasianodon hypophthalmus) ซึ่งเป็นปลาน้ำจืด ทนทานต่อระดับออกซิเจนต่ำและระบบบ่อที่มีความหนาแน่นสูง แต่การพึ่งพาอาหารสำเร็จรูปของปลาชนิดนี้ทำให้เกิดความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม (Bosma 2009) กุ้งกุลาดำ (Penaeus monodon) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นชนิดพันธุ์หลัก ปัจจุบันมีบทบาทน้อยลงเนื่องจากความเสี่ยงต่อโรค แต่ยังคงมีคุณค่าในระบบการเพาะเลี้ยงกุ้ง-ป่าชายเลนแบบผสมผสาน ซึ่งมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (Binh 1997) กุ้งก้ามกราม (Macrobrachium rosenbergii) มักถูกเพาะเลี้ยงร่วมกับข้าวในระบบการทำฟาร์มแบบหมุนเวียน โดยใช้ประโยชน์จากแหล่งอาหารตามธรรมชาติและลดต้นทุนปัจจัยการผลิต อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของรูปแบบการผลิตนี้ขึ้นอยู่กับการควบคุมปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด เช่น ความเค็ม อุณหภูมิ และคุณภาพน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งพืชผลและสัตว์น้ำจะมีการพัฒนาและให้ผลผลิตที่เหมาะสม (Hoa 2017)
วิธีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนามมีความหลากหลายอย่างมาก ตั้งแต่ระบบดั้งเดิม เช่น รูปแบบการเลี้ยงกุ้ง ร่วมกับการปลูกข้าว ซึ่งให้ความสำคัญกับความสมดุลทางนิเวศวิทยาแต่ให้ผลผลิตไม่มาก ไปจนถึงระบบกึ่งหนาแน่นซึ่งมีการให้อาหารเสริม ระบบหนาแน่นสูง ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับชนิดพันธุ์ เช่น ปลาสายและกุ้งขาว ให้ผลผลิตสูงผ่านความหนาแน่นในการปล่อยที่สูงและอาหารสำเร็จรูป แต่ก็มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างของเสียจำนวนมากและการใช้พลังงานสูง (Tu 2021) เมื่อไม่นานมานี้ ระบบหนาแน่นสูงพิเศษที่นำเทคโนโลยี เช่น ไบโอฟลอค (biofloc) และ ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหมุนเวียน (recirculating aquaculture systems: RAS) ได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากมีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพของทรัพยากร แม้ว่าจะต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่สูงกว่าและต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคมากขึ้นก็ตาม การทำความเข้าใจลักษณะและผลกระทบของแต่ละระบบอย่างถี่ถ้วนจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้ (Hoa 2017)
วิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต LCA: คำจำกัดความและการประยุกต์ใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
การประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment หรือ LCA) เป็นระเบียบวิธีที่ได้รับการวางระบบในช่วงทศวรรษ 1990 และได้รับการรับรองภายใต้มาตรฐาน ISO 14040:2006 ซึ่งเป็นแนวทางที่เป็นระบบสำหรับการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์หรือระบบตลอดวงจรชีวิตทั้งหมด ตั้งแต่การสกัดวัตถุดิบไปจนถึงการกำจัดเมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งาน ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ LCA ใช้สำหรับวัดผลกระทบ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก, ภาวะน้ำเสีย, และการลดลงของทรัพยากร เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญสำหรับเป็นแนวทางในการดำเนินงานอย่างยั่งยืน
LCA สามารถนำมาใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น ภาวะโลกร้อน, ภาวะน้ำเสีย) และระบุ “จุดสำคัญ” ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด (กระบวนการหรือกิจกรรมหลักที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญที่สุด) นอกจากนี้ ยังมีการใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อเปรียบเทียบเทคนิคการผลิตและเน้นถึงผลกระทบที่ต้องแลกมา (trade-offs) ระหว่างทางเลือกต่างๆ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่มีข้อมูลประกอบสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน
กระบวนการ LCA เริ่มต้นด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของการศึกษา เช่น การวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการเพาะเลี้ยงกุ้งตั้งแต่โรงเพาะฟักจนถึงตลาด โดยทั่วไปแล้วจะใช้หน่วยการทำงาน (functional unit) คือ 1 ตัน ของผลิตภัณฑ์ที่มีชีวิต ต่อมา นักวิจัยจะรวบรวมรายการสินค้าคงคลังตลอดวงจรชีวิต (life cycle inventory) ซึ่งหมายถึงข้อมูลเชิงปริมาณที่รวบรวมตลอดทั้งวัฏจักรของผลิตภัณฑ์ เป็นบันทึกข้อมูลปัจจัยนำเข้า เช่น การใช้อาหารและพลังงาน รวมถึงผลผลิตที่ได้ เช่น การปล่อยน้ำเสีย จากนั้นในขั้นตอนการประเมินผลกระทบของวงจรชีวิต (life cycle impact assessment) จะมีการแปลงข้อมูลรายการสินค้าคงคลังเหล่านี้ (เช่น การใช้ทรัพยากรและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก) ให้เป็นหมวดหมู่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น ศักยภาพการเกิดภาวะโลกร้อน โดยใช้วิธี ReCiPe ซึ่งเป็นวิธีที่ออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์การประเมินผลกระทบของ LCA สุดท้าย จะมีการดำเนินการในขั้นตอนการตีความ เพื่อระบุพื้นที่หรือองค์ประกอบของรูปแบบการผลิตที่ต้องปรับปรุง ตัวอย่างเช่น อาหารโดยทั่วไปเป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้เกิดผลกระทบมากที่สุดในหมวดหมู่ที่มีผลกระทบมากที่สุดในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ดังนั้นการลดปริมาณการใช้อาหารสามารถนำไปสู่ประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
จุดแข็งของ LCA อยู่ที่ขอบเขตที่ครอบคลุม ทำให้สามารถระบุหมวดหมู่ผลกระทบที่หลากหลายและจุดแทรกแซงที่สำคัญ เช่น การใช้อาหารที่ไม่มีประสิทธิภาพในการเพาะเลี้ยงปลาสวาย LCA ยังช่วยอำนวยความสะดวกในการเปรียบเทียบระหว่างระบบต่างๆ เพื่อสนับสนุนการรับรองและการกำหนดนโยบาย
วิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต LCA: แนวทางปฏิบัติในปัจจุบันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ระเบียบวิธี LCA จำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่ละเอียดและเฉพาะเจาะจงในแต่ละพื้นที่ ซึ่งในเวียดนามมักจะขาดแคลนข้อมูลดังกล่าว เนื่องจากฟาร์มขนาดเล็กจำนวนมากมีบันทึกที่ไม่สมบูรณ์ ความแตกต่างในการออกแบบการศึกษา เช่น การกำหนดขอบเขตระบบที่ไม่เหมือนกัน ยังทำให้การเปรียบเทียบซับซ้อนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ลักษณะคงที่ของ LCA อาจมองข้ามความผันแปรตามฤดูกาล เช่น การเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำในภูมิภาค ข้อจำกัดเหล่านี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการประยุกต์ใช้อย่างระมัดระวัง
ในเอเชีย การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับลักษณะด้านสิ่งแวดล้อมและกลไกผลกระทบของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในประเทศไทย งานวิจัยเกี่ยวกับการเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบุว่าการใช้อาหารที่ไม่มีประสิทธิภาพและน้ำเสียจากบ่อเป็นสาเหตุหลักของภาวะน้ำเสีย ซึ่งเป็นการสนับสนุนความพยายามในการขอรับรองการทำฟาร์มแบบยั่งยืน ในเวียดนาม การศึกษาการเพาะเลี้ยงปลาสวายได้เปิดเผยว่า อาหารมีส่วนทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงถึง 90% ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความต้องการอาหารสัตว์ที่เหมาะสมโดยมีสัดส่วนของปลาป่นในปริมาณที่ต่ำลง ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง งานวิจัยมักจะมุ่งเน้นไปที่ของเสียจากอาหารและน้ำเสียจากบ่อ ซึ่งถือเป็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุด (Huysveld 2013) การวิเคราะห์อีกชิ้นหนึ่งได้สำรวจการใช้ทรัพยากรในระบบการเลี้ยงแบบหนาแน่นสูง โดยเน้นถึงความต้องการพลังงานที่สูง (Henriksson 2012; Huysveld 2013) การประยุกต์ใช้ LCA ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักที่เพิ่มขึ้นถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างผลผลิตกับสุขภาวะของระบบนิเวศ (Henriksson 2012)
วิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต LCA: การพิจารณาด้านสังคม
นอกเหนือจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) แบบองค์รวมในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจะต้องผนวกรวมการพิจารณาด้านสังคมเข้าไว้ด้วย เพื่อตระหนักถึงความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งระหว่างการปฏิบัติทางการเกษตรกับความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ จุดสนใจที่สำคัญในที่นี้คือ ความเสมอภาคทางเพศ, ความพิการ, และการอยู่ร่วมกันในสังคม (Gender Equality, Disability, and Social Inclusion – GEDSI) ซึ่งทำให้มั่นใจว่าประโยชน์และภาระจากการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจะถูกกระจายอย่างเป็นธรรมในหมู่สมาชิกทุกคนในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบาง ตัวอย่างเช่น ความสำคัญที่จะต้องประเมินผลกระทบของฟาร์มขนาดใหญ่ต่อวิถีชีวิตในท้องถิ่น สภาพการทำงาน (รวมถึงค่าจ้างที่เป็นธรรมและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย) และความมั่นคงทางอาหารสำหรับชุมชนรอบข้าง (Tu 2021)
นอกจากนี้ การพิจารณาด้านสังคมยังครอบคลุมถึงการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม, แนวทางการเกษตรแบบดั้งเดิมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมักจะนำเสนอแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนซึ่งปรับให้เข้ากับบริบททางนิเวศวิทยาในท้องถิ่น (Binh 1997) มิติทางสังคมของ LCA ยังสามารถประเมินได้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น ระบบการเลี้ยงที่หนาแน่นสูงเป็นพิเศษ อาจส่งผลกระทบต่อการเลิกจ้างงาน หรือความต้องการทักษะและการฝึกอบรมใหม่ๆ อย่างไร ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมไปสู่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน
วิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต LCA: แนวโน้มในอนาคต
อนาคตของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ขึ้นอยู่กับการประสานกันระหว่างผลผลิตกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม และ LCA ในการที่จะสามารถเป็นระเบียบวิธีที่เหมาะสมที่จะให้ทิศทางนี้ได้ นวัตกรรมด้านอาหารสัตว์ เช่นการใช้โปรตีนจากพืชหรือจุลินทรีย์มีแนวโน้มที่จะลดการพึ่งพาปลาป่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบ ระบบแบบผสมผสาน เช่น รูปแบบการปลูกข้าวร่วมกับการเลี้ยงกุ้ง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศตามธรรมชาติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความหลากหลายทางชีวภาพ ในขณะที่ลดความต้องการปัจจัยการผลิตลง ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดภาวะดินเค็มและน้ำท่วม LCA สามารถประเมินการนำเทคโนโลยี เช่น ระบบ ไบโอฟลอค หรือการฟื้นฟูป่าชายเลนมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าทั้งผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและความยืดหยุ่นต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะได้รับการเสริมสร้าง
การพัฒนาของวิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต(LCA)เอง ก็มีความสำคัญเช่นกัน การสร้างมาตรฐานของระเบียบวิธีการและการสร้างฐานข้อมูลระดับภูมิภาค จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความสามารถในการเปรียบเทียบ ซึ่งจะช่วยแก้ไขข้อจำกัดในปัจจุบัน การรวมปัจจัยตามฤดูกาลและพื้นที่ เช่น ความผันผวนของน้ำในภูมิภาค จะทำให้ LCA มีส่วนเกี่ยวข้องมากขึ้น นอกเหนือจากการวิจัยแล้ว การนำผลลัพธ์จาก LCA ไปใช้ในนโยบายและโครงการรับรอง เช่น Aquaculture Stewardship Council (ASC) จะส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ ซึ่งได้แก่การจัดหาเงินทุนและการฝึกอบรมทางเทคนิคสำหรับนักวิจัยในท้องถิ่น รวมถึงการขจัดปัญหาทางเศรษฐกิจในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ การทำงานร่วมกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ เกษตรกร และผู้กำหนดนโยบายจะเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุวิสัยทัศน์นี้
บทสรุป
ภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในห่วงโซ่อุปทานอาหารโลก แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ เพื่อแก้ไขความท้าทายเหล่านี้ การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) จึงได้รับการพิจารณาว่าเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้สามารถวัดผลและระบุผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ การศึกษาที่ประยุกต์ใช้ LCA ในเวียดนามและไทยได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้อาหารและการจัดการน้ำเสีย เป็นประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องได้รับการแก้ไขด้วยนวัตกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของ LCA ในการเป็นแนวทางปฏิบัติการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่มุ่งสู่ความยั่งยืน
ในอนาคต อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยรวม และในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนามโดยเฉพาะ มีแนวโน้มที่สำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการนำนวัตกรรมต่างๆมาใช้ ทั้งในด้านสูตรอาหารสัตว์, รูปแบบการทำฟาร์มแบบผสมผสาน, และกลยุทธ์การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสนับสนุนกระบวนการนี้ ระเบียบวิธี LCA จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและปรับแต่งอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะและความต้องการของภูมิภาค การเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นระหว่างงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์กับการปฏิบัติจริง จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เพื่อรักษาสถานะการเป็นศูนย์กลางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ความหลากหลายของระบบนิเวศ
