เหนือกว่าการเป็นเพียงสัญลักษณ์: การวางองค์ความรู้พื้นถิ่นเป็นศูนย์กลางในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนของเวียดนาม

โดย Dr. Nguyen Van Bao

Image by Kati Lenart from iStock.

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ระบบองค์ความรู้ของชนพื้นเมืองได้รับความสนใจอีกครั้งเนื่องจากมีศักยภาพในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ (Ogar 2020; Dorji 2024) แท้จริงแล้ว องค์ความรู้จากประสบการณ์ชีวิตจริงและภูมิปัญญาที่ฝังรากในพื้นที่ของชุมชนชนพื้นเมือง และชนกลุ่มน้อยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความสามารถในการฟื้นตัวจากสภาวะภูมิอากาศและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีความหลากหลายและเติบโตเร็วที่สุดของประเทศ ได้พึ่งพาอาศัยความรู้เชิงนิเวศวิทยาของชุมชนชาติพันธุ์และเกษตรกรท้องถิ่นอย่างมาก ทว่าองค์ความรู้ดังกล่าวยังคงไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอและไม่ได้รับการยอมรับอย่างจริงจังในแผนงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับชาติ

บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงวิธีการวางองค์ความรู้พื้นถิ่นเป็นศูนย์กลาง ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนในเวียดนาม ที่สามารถช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นต่อธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อมในภาพรวม ขณะเดียวกันก็ระบุอุปสรรคต่อการบูรณาการ และนำเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อวิธีการที่ครอบคลุมและสามารถปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศได้ดียิ่งขึ้น

ความท้าทายที่ขัดขวางการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ในบริบทของเวียดนาม ชนพื้นเมืองซึ่งถูกจัดประเภทอย่างเป็นทางการว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย ได้สั่งสมองค์ความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ปรับตัวเข้ากับระบบนิเวศชายฝั่ง พื้นที่ปากแม่น้ำ และทะเลสาบชายฝั่งมาอย่างยาวนาน แม้องค์ความรู้ดังกล่าวได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่า แต่องค์ความรู้พื้นถิ่นยังคงถูกกีดกันออกจากการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัญหาที่แตกต่างกัน 4 ประการ

ประการแรก คือ การด้อยค่าอย่างเป็นระบบ (Niko 2025) ผู้กำหนดนโยบายและนักวิทยาศาสตร์มักให้ค่าน้ำหนักกับข้อมูลเชิงปริมาณและความรู้แบบปรัชญาตะวันตก ขณะที่มองแนวปฏิบัติพื้นถิ่นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่เป็นทางการ จึงไม่รับรองว่าเป็นองค์ความรู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ แนวโน้มนี้เห็นได้เด่นชัดในภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งระบบดั้งเดิมที่ใช้ทรัพยากรต่ำและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย มักถูกมองข้ามเพื่อสนับสนุนรูปแบบการผลิตเชิงอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้น ในเวียดนาม องค์ความรู้เชิงพื้นที่ของเกษตรกร เช่น การสังเกตสีและกลิ่นของน้ำเพื่อประเมินสภาพของบ่อ การปรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ให้สอดคล้องกับจังหวะน้ำขึ้นน้ำลงตามรอบของดวงจันทร์ หรือการใช้เรือนยอดของพรรณไม้ป่าชายเลนเป็นตัวกรองชีวภาพธรรมชาติเพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่ และลดความเครียดของกุ้ง ล้วนแสดงให้เห็นถึง ความรู้ความเข้าใจเชิงนิเวศวิทยา ที่ละเอียดอ่อน ซึ่งยังคงถูกด้อยค่าในการวางแผนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกระแสหลัก

การกีดกันทางการเมืองและกฎหมาย ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ในหลายภูมิภาค กลุ่มชนพื้นเมืองยังขาดการรับรองสิทธิในที่ดิน แหล่งน้ำ และทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นทางการ (Brondízio 2021) ในเวียดนาม ปัญหานี้ปรากฏให้เห็นส่วนใหญ่ในรูปแบบของการเข้าถึงที่ไม่มั่นคง ในพื้นที่ทะเลสาบชายฝั่ง ป่าชายเลนและแหล่งน้ำชายฝั่ง เนื่องจากการทับซ้อนของเขตอำนาจบริหาร และการขยายตัวของเขตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเชิงอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างหนึ่งคือ ชาวประมงในพื้นที่ทะเลสาบตอนกลางของเวียดนาม ซึ่งมีจุดตั้งกระชังแบบดั้งเดิมมายาวนานโดยอาศัยตัวบ่งชี้ท้องถิ่น เช่น การเคลื่อนที่ของน้ำ ความขุ่น และทิศทางลมตามฤดูกาล แต่กลับเผชิญข้อจำกัดด้านการแบ่งเขตพื้นที่ที่ไม่คำนึงถึงองค์ความรู้เชิงนิเวศวิทยาของพวกเขา เมื่อปราศจากสิทธิการเข้าถึงที่มั่นคง ชุมชนจึงยังคงเสี่ยงต่อการถูกโยกย้าย และระบบการจัดการทรัพยากรแบบอิงพื้นที่ก็ย่อมเผชิญกับการสลายตัวลง

ประการที่สาม คือ การส่งต่อทอดองค์ความรู้ระหว่างรุ่นที่อ่อนแอลง ซึ่งเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่อความยั่งยืนของแนวปฏิบัติการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ องค์ความรู้ทางนิเวศเหล่านี้เคยถูกส่งต่อผ่านการเล่าเรื่อง พิธีกรรม และกิจกรรมชุมชน (Daigle 2019) อย่างไรก็ตาม เยาวชนจำนวนมากย้ายออกจากพื้นที่ชายฝั่งและชนบทเพื่อไปเรียนหรือทำงานในเมือง ทำให้ขาดโอกาสเรียนรู้ดั้งเดิมด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจากผู้เฒ่าผู้แก่ ความเสื่อมถอยของภาษาท้องถิ่นยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น เนื่องจากคำศัพท์ที่อธิบายการเคลื่อนที่ของน้ำ พฤติกรรมสัตว์น้ำ และรอบของข้างขึ้น – แรมของดวงจันทร์ ล้วนมีความหมายเฉพาะที่ไม่อาจถ่ายทอดได้อย่างครบถ้วนในภาษากลาง ในบริบทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ องค์ความรู้ที่เสี่ยงสูญหาย เช่น วิธีสังเกต “น้ำดี” สำหรับการปล่อยลูกพันธุ์สัตว์น้ำ วิธีใช้พืชสมุนไพรตามท้องถิ่น เช่น ใบหูกวาง สะเดาจีน หรือใบฝรั่งเพื่อรักษาโรคปลา ตลอดจนวิธีรักษาสมดุลนิเวศในระบบการปลูกข้าว ร่วมกับการเลี้ยงปลา ล้วนเป็นตัวอย่างของความรู้เชิงปฏิบัติที่อาจสูญหายหากปราศจากการถ่ายทอดอย่างต่อเนื่อง

ประการสุดท้าย คือการยอมรับแต่ในเชิงสัญลักษณ์ (tokenism) แม้เสียงของชนพื้นเมืองจะได้รับการกล่าวถึงมากขึ้นในเวทีนานาชาติและกระบวนการกำหนดนโยบาย แต่การยอมรับนี้ยังคงเป็นไปในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าเนื้อหา (Zurba 2023) ในโครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและธรรมาภิบาลการจัดการชายฝั่ง ชุมชนชนพื้นเมืองมักถูกเชิญเข้าร่วมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับวาทกรรมการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่กลับไม่ได้รับอำนาจตัดสินใจหรือกำกับการแบ่งปันประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นการนำองค์ความรู้พื้นถิ่นกลับมาเป็นศูนย์กลางในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน จึงจำเป็นต้องก้าวข้ามการยอมรับเชิงสัญลักษณ์ ไปสู่รูปแบบ การกำกับดูแลร่วม (co-governance) และ การออกแบบร่วม (co-design) ที่แท้จริง ซึ่งชุมชนพื้นเมืองสามารถกำหนดเป้าหมายเชิงนิเวศวิทยา ชี้แนะการดำเนินการ และประเมินผลลัพธ์ตามหลักการดูแลจัดการของตนเอง

เหตุใดความท้าทายเหล่านี้จึงมีความสำคัญ

การเพิกเฉยต่อองค์ความรู้ของชนพื้นเมืองส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมทางสังคม

ประการแรก สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่า แม้กลุ่มชนพื้นเมืองจะประกอบด้วยประชากรโลกไม่ถึง ร้อยละ 5 แต่พวกเขากลับปกป้องดูแล ความหลากหลายทางชีวภาพที่เหลืออยู่ของโลกประมาณร้อยละ 80 (WEF 2023) สิ่งนี้เน้นย้ำถึงบทบาทที่ขาดไม่ได้ของพวกเขาในฐานะ ผู้ดูแลระบบนิเวศ ในเวียดนาม ชนกลุ่มน้อยมีสัดส่วนราว 14-15% ของประชากรทั้งประเทศ และยังคงสืบทอดแนวปฏิบัติในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการจัดการทรัพยากรที่ช่วยเสริมความสามารถในการฟื้นตัวของระบบนิเวศท้องถิ่น แนวปฏิบัติ เช่น การทำนา-กุ้งแบบผสมผสาน การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรต่อป่าชายเลน และการประมงในทะเลสาบชายฝั่ง ไม่ได้เป็นเพียงประเพณีทางวัฒนธรรม แต่เป็นระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการสั่งสมและปรับตัวมายาวนานหลายศตวรรษ นอกจากนี้ ชุมชนท้องถิ่นยังคงรักษาแนวปฏิบัติอื่น ๆ เช่น พื้นที่หลบภัยสำหรับปลาในนาข้าว (“rãnh sâu”) ระบบการเลี้ยงกุ้ง-ป่าชายเลนแบบผสมผสาน และการใช้ชั้นตะกอนธรรมชาติรองพื้นบ่อ ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและลดการพึ่งพาสารเคมี

ประการที่สอง องค์ความรู้พื้นถิ่นนำเสนอแนวทางแบบองค์รวมและระยะยาว ที่ช่วยเกื้อหนุนวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ในขณะที่กรอบแนวคิดทางวิทยาศาสตร์แบบลดทอนส่วนประกอบ (reductionist) มักจะแยกตัวแปรออกจากกัน แต่ระบบความรู้พื้นถิ่นเน้นย้ำถึง ความเชื่อมโยงเชิงลึกระหว่างที่ดิน น้ำ พืช สัตว์และมนุษย์ ระบบองค์ความรู้เหล่านี้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวในการจัดการกับความซับซ้อน และการส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวในระยะยาว (Turner 2022) เกษตรกรชายฝั่งและในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจะประเมินสภาพบ่อผ่าน การประเมินเชิงประสาทสัมผัสหลายมิติ ทั้งสี กลิ่น ความขุ่น รูปแบบฟองของน้ำ และพฤติกรรมของแมลงหรือนก ซึ่งให้ข้อมูลเชิงบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อาจมองข้ามไป

ประการที่สาม การให้คุณค่าต่อองค์ความรู้ของชนพื้นเมืองยังมีนัยสำคัญต่อความเป็นธรรมทางสังคม การกีดกันกลุ่มชนพื้นเมืองอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการสืบทอดความอยุติธรรมทางประวัติศาสตร์ที่มีรากฐานมาจากลัทธิล่าอาณานิคม การสูญเสียสิทธิในที่ดิน และการเอารัดเอาเปรียบทรัพยากรให้ดำรงอยู่ต่อไป (Zurba 2023; Samper 2025) ในบริบทของการ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการบริหารจัดการประมง การส่งเสริมให้ชนพื้นเมืองมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงหมายถึงการยอมรับว่า ชุมชนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงผู้ใช้ทรัพยากร แต่เป็น ผู้จัดการร่วม ที่องค์ความรู้เชิงนิเวศดั้งเดิมของพวกเขาเป็นรากฐานสำคัญทั้งต่อระบบนิเวศและต่อวิถีทำกิน

ประการสุดท้าย แนวทางแก้ไขวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันต้องการ ระบบองค์ความรู้ที่หลากหลาย ภูมิปัญญาท้องพื้นถิ่นซึ่งเน้นการปรับตัวตามท้องถิ่น ความเอื้ออาทรแลกเปลี่ยน และความยืดหยุ่น เป็นแหล่งให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นซึ่งเสริมสร้างและเติมเต็มวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Makondo 2018) การบูรณาการดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งการหลอมรวมภูมิปัญญาเชิงนิเวศวิทยาพื้นถิ่นเข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่สามารถสร้างระบบที่ปรับตัวได้ มีผลกระทบต่ำ ซึ่งช่วยเพิ่มทั้งความมั่นคงทางอาหาร และ สุขภาพของระบบนิเวศ

แนวทางการผนวกองค์ความรู้พื้นถิ่นเข้าสู่ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน

ขั้นตอนพื้นฐานสำคัญคือ การรับรองและคุ้มครองสิทธิของชุมชนชนพื้นเมืองในการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรน้ำ ในเวียดนาม กฎหมายการประมง (ค.ศ. 2017) และกรอบการบริหารจัดการร่วมที่กำลังพัฒนาอยู่ ช่วยเปิดโอกาสทางกฎหมายเพื่อเสริมสร้างสิทธิของชุมชนในการเข้าถึงพื้นที่ทะเลสาบชายฝั่ง ป่าชายเลนและพื้นที่ชุ่มน้ำ การรับประกัน ความมั่นคงในการครอบครองมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการที่ชุมชนจะสามารถรักษาแนวปฏิบัติด้านนิเวศวิทยาที่เป็นรากฐานของระบบองค์ความรู้ของตนไว้ได้

ระบบองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และองค์ความรู้พื้นถิ่นไม่ควรทำงานแยกจากกัน แพลตฟอร์มสำหรับการร่วมผลิตความรู้ ซึ่งเปิดให้ชุมชนพื้นเมืองมีส่วนร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ ผู้กำหนดนโยบาย และนักอนุรักษ์ ในฐานะ หุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน สามารถสร้างโอกาสลดช่องว่างด้านแนวคิดความรู้ (Buschman 2022) เวียดนามมีศักยภาพสูงสำหรับการร่วมผลิตความรู้: เช่นการผสานข้อมูลจากดาวเทียมที่ใช้การติดตามความเค็มและน้ำท่วม สามารถนำมาผนวกกับตัวบ่งชี้พื้นถิ่น เช่น รูปแบบของการเกิดฟองของน้ำ ปฏิทินจันทรคติของน้ำขึ้น-น้ำลง ที่ใช้ในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ หรือวิธีการดั้งเดิมในการระบุพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำวัยอ่อนที่อุดมสมบูรณ์ การเชื่อมโยงองค์ความรู้ดังกล่าวสามารถนำไปสู่การประเมินด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นยิ่งขึ้นและตอบสนองต่อบริบทท้องถิ่นได้ละเอียดยิ่งขึ้น

การสืบทอดทางวัฒนธรรมของระบบองค์ความรู้ ควรได้รับการเสริมสร้าง ภาษาพิธีกรรม และแนวปฏิบัติพื้นถิ่นมิใช่เพียงมรดกวัฒนธรรม แต่เป็นพาหนะที่สำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงนิเวศวิทยา ในชุมชนประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลายแห่ง ประเพณีทางวัฒนธรรม เช่น บทเพลงและพิธีกรรมตามฤดูกาล ได้ถ่ายทอดความรู้เชิงปฏิบัติเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ปลา เวลาที่เหมาะสมในการจัดการความเค็มของน้ำ และวิธีการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ดังนั้น ระบบการศึกษาจึงควรส่งเสริม หลักสูตรสองภาษา ที่บูรณาการภูมิปัญญาเชิงนิเวศวิทยาพื้นถิ่นเข้ากับการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบดั้งเดิม เช่นการสอนวิธีเตรียมบ่อโดยใช้สารสกัดจากพืช การสังเกตลมตามฤดูกาลสำหรับการวางกระชัง หรือการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำนาข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลา สามารถฟื้นฟูความต่อเนื่องทางวัฒนธรรม บ่มเพาะและสร้างผู้พิทักษ์ระบบนิเวศรุ่นใหม่ในอนาคตได้

ความเป็นธรรมทางสังคม จะไม่สามารถบรรลุผลได้หากปราศจากการยอมรับอย่างแท้จริงในองค์ความรู้พื้นถิ่น ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่หลากหลายของเวียดนาม ตั้งแต่ ภูมิทัศน์ป่าชายเลน-กุ้งในจังหวัดก่าเมา ไปจนถึง ระบบการประมงในทะเลสาบที่เมืองเว้ ได้แสดงให้เห็นว่า องค์ความรู้พื้นถิ่นเป็นวิทยาศาสตร์ที่มีชีวิตและปรับตัวได้ มิใช่เพียงโบราณวัตถุในอดีต มีเพียงการยอมรับรูปแบบการรับรู้ที่หลากหลาย และการวางภูมิปัญญาพื้นถิ่นในฐานะรากฐาน แทนที่จะเป็นส่วนเสริมเท่านั้น มนุษยชาติจึงจะสามารถก้าวไปสู่รูปแบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนที่ ครอบคลุม ยุติธรรม และสามารถปรับตัวได้ มากยิ่งขึ้น

บทสรุป

องค์ความรู้พื้นถิ่นเป็นทั้งทรัพยากรที่ประเมินค่ามิได้สำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน และเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรม อย่างไรก็ตามองค์ความรู้เหล่านี้ยังคงเผชิญการประเมินค่าต่ำ การสึกกร่อนทางวัฒนธรรม และการถูกกีดกันออกจากกระบวนการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงเพื่อการดำรงอยู่ของชุมชนชนพื้นเมืองเท่านั้นแต่ยังรวมถึงประสิทธิภาพของธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อมของเวียดนามโดยรวม การยอมรับและบูรณาการองค์ความรู้ของชนพื้นเมืองอย่างเต็มรูปแบบเท่านั้น ที่ทำให้เวียดนามสามารถสร้างภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน เป็นธรรม ปรับตัวและมีความยืดหยุ่นต่อความท้าทายด้านภูมิอากาศได้ ในอนาคต